บันทึกสุขภาพดีนี่แม่งต้องอึดฉิบหาย: Yoga First Time (ตอนจบ)
จะสุขภาพดีนี่มันต้องทรมานตัวเองขนาดนี้เลยเหรอ?!
ภาพจาก reddit.com |
ทีนี้โจทย์ในการซื้อชุดออกกำลังกายสำหรับมือใหม่อย่างเราก็คือ แบบสวย คุณภาพดี และราคาประหยัด สำหรับชุดโยคะเจอหลายคนแนะนำว่าของ D & P นั้นดี ราคาไม่แพงมาก และจากที่ค้น ๆ ดูแบบก็สวยดี มีขายที่ Supersports ตามห้างทั่วไป หรือจะสั่งซื้อออนไลน์ผ่านเพจใน facebook นั่นก็ได้ รอบแรกก็จัดกางเกงมาสองตัวก่อน ส่วนเสื้อซื้อแบบเสื้อกล้ามของ adidas ที่ขายลดราคาอยู่ในเว็บ central online (สะดวกดี ส่งฟรีด้วย)
ตัดฉากมาที่วันแรกของการไปเล่นโยคะ คลาสที่เราลงจะเป็นโยคะร้อน ท่าเบสิคสำหรับคนที่ไม่เคยเล่นโยคะมาก่อน หรือเพิ่งเริ่มเล่น ห้องสำหรับเรียนโยคะจะมีสองห้อง ห้องใหญ่จุได้ราว ๆ 60 คน (แต่ถึงเวลาจริง ๆ ก็ไม่เคยเต็มถึง 60 คนหรอกนะ) แล้วก็มีห้องเล่น Pelates อีกห้อง ในแต่ละห้องจะมีเสื่อที่วางป้ายไว้สำหรับให้นักเรียนใหม่ไปยืน ครูก็จะรู้ว่าคนนี้มาใหม่นะ (แต่จริง ๆ ครูจะถามก่อนเริ่มคลาสทุกครั้งว่ามีนักเรียนใหม่ไหม ใครมีปัญหาสุขภาพอะไรบ้างอยู่แล้วนะ ถึงไม่ได้ยืนตรงเสื่อสำหรับนักเรียนใหม่ก็ไม่เป็นไร) อุณหภูมิในห้องโยคะร้อนจะอยู่ที่ 37 - 38 องศาฯ รีดเหงื่อได้ดีทีเดียว หยดติ๋ง ๆ วันแรกเจอไป 90 นาที แขนขานี่แทบหลุดจากร่าง มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็นในคลิปยูทูบเล้ยยยยย ตัวเราก็แข็ง แขนขาอ่อนแรงด้วยความที่ใช้ชีวิตเยี่ยงชาวง่อยไม่เคยขยับร่างมาตลอดชีวิต นอกจากจะต้องตั้งใจกับการเข้าท่าต่าง ๆ ยังต้องคอยตั้งสมาธิกับลมหายใจ และไม่ลืมที่จะเกร็งกล้ามเนื้อแขน ขา หน้าท้องอยู่ตลอด ครูที่สอนก็จะคอยพูดอธิบายท่าต่าง ๆ ให้เราทำตาม พร้อมน้ำเสียง และคำพูดผลักดันให้เราพยายามท้าทายตัวเอง (วันไหนเจอครูต่างชาตินี่ก็ลำบากนิดหน่อย ฟังไม่ออก 55 อาศัยเหลือบมองคนข้างหน้าเอาว่าทำท่าไหน) หลังเล่นเสร็จวันแรก ตื่นมานี่ปวดเนื้อตัวไปหมด ถึงกับต้องพ่นยาแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แต่พอไปซ้ำสัก 2 - 3 ครั้งมันก็ค่อย ๆ เริ่มดีขึ้น ตอนกินมันไม่เห็นยากแบบนี้เลยวะ คนที่จะสุขภาพดีนี่มันต้องบำเพ็ญทุกรกิริยากันขนาดนี้เลยเรอะ!
ครู: ทำได้แค่ไหนแค่นั้นนะคะ แต่ละคนไม่เท่ากันนะ อย่าฝืน เจ็บให้ถอย ไม่ไหวให้พัก
*บอกท่าให้ทำ*
ครู: หายใจเข้าช้า ๆ ยืดอก หลังตรง อย่าแอ่น ก้นไม่กระดก หายใจออกเกร็งหน้าท้อง อย่าลืมขมิบก้น ถ้าทำได้ให้พยายาม challenge อีกนิด เตะขาสูงอีกนิด 5 ค่ะ อีกนิดนึง 4 พยายามอีกนิด 3 อีกสองลมหายใจยาวๆ ค่ะ 2 อีกนิดด..
me: *ตายตั้งแต่นิดที่ 4*
ข้างบนนี่แค่ตัวอย่างเวลาที่ครูอธิบายท่าให้เราทำตาม จากที่เล่นมา 1 เดือน รวมสิบกว่าครั้ง จนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถเข้าท่าได้ถูกต้อง 100% และอยู่จนจบได้ครบทุกท่า พอกำหนดลมหายใจ ก็จะลืมเกร็งหน้าท้อง แขน หรือขา ท่ายืนขาเดียวนี่หลุดตลอด ทรงตัวไม่ได้ บางท่าก็ทำมาตั้งนานกว่าจะรู้ว่าเข้าท่าผิด คือครูจะเดินดูรอบห้องเรื่อย ๆ ถ้าท่าเราไม่ได้ผิดชัดเจนเขาจะไม่เข้ามาจัด หรือดัดให้ จะปล่อยให้เราทำเอง หากมีอะไรติดใจสงสัยเราถามครูได้หลังเลิกคลาส อย่างเรื่องขา ก็เพิ่งมารู้ไม่นานนี้เองว่าพวกเซ็ตท่าที่ต้องยืนขาเดียว เรายืนผิดมาตลอด ครูบอกว่าลักษณะขาของเราเรียกว่าไฮเปอร์ ยืนเหยียดตรงเต็มที่แล้วช่วงเข่ามันจะแอ่นไปข้างหลัง แบบนี้เข่ามันจะสบกัน เวลายืนเข้าท่าให้หย่อนเข่ามาข้างหน้านิดนึง แล้วก็ต้องสังเกตว่าพื้นรองเท้าเราสึกไปทางด้านไหนเยอะสุด อย่างเช่น ถ้าสึกจากส้นเท้าด้านใน แปลว่าปกติเราลงน้ำหนักที่บริเวณนั้น เวลายืนเข้าท่าโยคะเราก็ต้องลองถ่ายน้ำหนักไปที่เท้าด้านนอกมากขึ้น ให้มัน balance เป็นต้น
ตั้งแต่วันแรกมาจนตอนนี้เรายังไม่กล้าลองเปลี่ยนไปเล่นคลาสอื่นเลย อยากทำคลาสนี้ให้ดีกว่านี้ก่อน เพราะกลัวว่าไปคลาสอื่นแล้วจะไม่รอด กลัวจะท้อแล้วเสียกำลังใจเอาดื้อ ๆ เพราะส่วนตัวก็ไม่ใช่คนมุ่งมั่นทำอะไรที่ทรมานตัวเองแบบนี้อยู่แล้ว ออกจะขี้เกียจเอามาก ๆ เสียด้วย สำหรับคลาสเบสิคที่ที่เราไปเรียนจะมี 3 คลาส อันที่เราเล่นนี่คือเบสิคสุด ๆ อย่างที่บอก ความแตกต่างระหว่างสามคลาสนี้เห็นจะอยู่ที่จำนวนท่า อีก 2 คลาสจำนวนท่าจะเยอะกว่า เซ็ตท่าที่เราเกลียดที่สุดก็เซ็ตที่ต้องนั่งเก้าอี้อากาศ มันคือที่สุดของความทรมานแล้วคุณเอ๋ยยย ดูรูปตรงส่วนหัวบล็อกประกอบนะคะ ชุดท่าที่เรียกว่า awkward 1, 2, และ 3 แล้วก็ eagle pose มันเมื่อยมากกกกกก ส่วนใหญ่ถ้าทำท่านี้ ไม่ไหวจริง ๆ เราก็ยืดตัวละ ไม่งั้นกลัวว่าจะไม่รอดจนจบคลาส 555 (แต่จริง ๆ ถ้าทนจนจบท่าได้จะดีที่สุดนะ ไม่งั้นได้ประโยชน์ไม่เต็มที่) วันที่เล่น 60 นาทีนี่ก็ดีหน่อย ทำแค่รอบเดียว แต่วันที่คลาส 90 นาทีนี่น้ำตาจะไหล #ใครปอกหัวหอม
อ่านมาถึงตรงนี้ดูจะมีแต่เสียงกรีดร้องแห่งความทรมานของคนเขียนบล็อก ที่เล่นมาพ้นเดือนนึงนี่ก็ทึ่งตัวเองอยู่เหมือนกัน ทีนี้มาดูสิ่งดี ๆ ที่ได้จากการเล่นโยคะมาเดือนนึงบ้างดีกว่า แม้ว่าจะต้องต่อสู้กับความทรมานทางกาย กล้ามเนื้อมันกรีดร้องว่าไม่ไหว สมองก็คอยบอกว่าให้หยุด แต่มันก็มีความสนุกและความสุขอยู่ด้วยนะ เราจะภูมิใจมากถ้าวันไหนเอาชนะไอ้เสียงกรีดร้องของกล้ามเนื้อและสมองอยู่จนจบท่าได้ อาการปวดหัวบ่อย ๆ ก็เริ่มดีขึ้น นอนหลับง่ายและสนิทมากขึ้น อาการปวดท้องประจำเดือนก็เหมือนจะบรรเทาลง ผ่อนคลาย สบายตัว เราพยายามไปเล่นทุกวันที่ไปได้ อาทิตย์นึงก็ 3 - 4 วัน ยังคงกระตือรือร้นทุกครั้ง ตอนนี้เป้าหมายเปลี่ยนจากลดพุงไปเป็นเข้าท่าให้ลึกขึ้น และนานขึ้นจนจบท่าได้แทนละ เรื่องพุงกับรูปร่างให้เป็นผลพลอยได้ละกัน เราชอบโยคะเพราะเล่นแล้วไม่หอบ ไม่รู้สึกเหมือนปอดถูกรีดเอาอากาศออกไปเหมือนเวลาวิ่ง หรือเดินเร็ว ๆ แต่ไม่ได้แปลว่าไม่เหนื่อยนะ ถ้าเราเข้าท่าถูกเราะจะเมื่อย กล้ามเนื้อจะตึงแต่ไม่เจ็บ หลายท่าจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว จะได้ยินเสียงหัวใจเต้นชัดเจน ตึก ๆๆๆๆๆ เลย และที่สำคัญ เล่นโยคะร้อนต้องดื่มน้ำเยอะ ๆ ปกติเราดื่มน้ำน้อยมาก ๆ ในแต่ละวัน ช่วงมาเล่นโยคะนี่ก็เริ่มปรับ ดื่มเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อน แล้วยังปรับพฤติกรรมการกินหันมากินผักผลไม้ด้วย งดพวกบุฟเฟ่ต์หนัก ๆ อย่างพวกเนื้อย่างตอนมื้อเย็น
นอกจากสุขภาพ โยคะยังสอนให้เรามีสมาธิ เป็นการฝึกสมาธิไปในตัว เราต้องมีสติอยู่กับท่า หรือปัจจุบันเสมอ คอยกำหนดลมหายใจ และเกร็งกล้ามเนื้อ ฝึกให้ร่างกายคุ้นชินกับการฝึก จะติดปัญหานิดหน่อยก็ตรงที่เราไม่ได้เรียนกับครูคนเดิมทุกครั้ง แต่ครูจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาสอน จังหวะ และการหายใจของครูแต่ละคนจะไม่เท่ากัน เราต้องยิ่งมีสมาธิแล้วปรับให้เข้ากับครูแต่ละคน ฝึกกับครูบางคนเราเหงื่อออกเยอะมาก กับบางคนก็นิดหน่อย อาจจะเป็นเพราะจังหวะที่ตึง หย่อนไม่เท่ากันแหละมั้ง
อีกเรื่องที่สำคัญคือ วินัย การหมั่นฝึกฝนสม่ำเสมอนั้นสำคัญ แม้จะมีเซ็ตท่าที่ไม่ชอบ แต่ก็ไม่เอามาเป็นข้ออ้างในการละทิ้งสิ่งที่เริ่มมาเอาง่าย ๆ หากไปได้ก็จะไปทุกวัน ไม่ตามใจตัวเองให้พักพร่ำเพรื่อ เพราะนอกจากเงินที่เสียไปไม่ใช่น้อยแล้ว ความตั้งใจที่มีก็ไม่ควรให้มันสูญเปล่าเพียงเพราะความขี้เกียจอย่างที่แล้ว ๆ มา แต่ก็ไม่ได้เคร่งครัดมากจนเกินไป วันไหนที่ไม่มีคลาส หรือวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ก็ใช้เวลาพักผ่อนเต็มที่ ยังไม่ได้ขยันจนถึงขนาดลุกขึ้นมาฝึกเล่นเองที่บ้าน ขอให้มีวันได้ขี้เกียจบ้าง ให้มีระยะห่างอย่างเหมาะสม
โยคะ สอนให้เรารู้จัก "ตัวเอง" และประมาณตน ร่างกายของเราไม่เหมือนกัน แต่ละคนทำได้มากน้อยไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องเร่ง หรือฝืนให้เท่าทันคนอื่น ให้เราสนใจแค่ร่างกายตัวเอง ดู ตัวเอง ไม่ต้องสนใจเพื่อนร่วมชั้นว่าเขาจะทำได้แค่ไหน แน่นอนว่าเราต้อง challenge บ้าง แต่ต้องไม่ฝืนจนเจ็บ หากเจ็บเมื่อไรเราก็ต้องรู้จักถอยกลับมา 1 step เสมอ มันคือช่วงเวลาแห่งการทบทวนตัวเอง
ก็คงเหมือนการใช้ชีวิต เมื่อเรามีเป้าหมาย นอกจากหนทางไปสู่ความสำเร็จ และคู่แข่งแล้ว สิ่งที่เราควรรู้ดีให้มากที่สุดคือตัวเอง เมื่อรู้จักตัวเอง เราจะรู้ขีดความสามารถของเรา เมื่อรู้ เราก็จะไม่ทำอะไรที่ใหญ่เกินตัว ฝืนเกินกำลัง เมื่อไม่ไหวก็พัก หรือหากเกินลิมิตไป เราก็ต้องรู้จักถอยบ้าง เพื่อไม่ให้พลาดพลั้งเสียหลักล้มลงจนเจ็บตัว
Comments
Post a Comment