แดนฝันปลายขอบฟ้า - ส่วนผสมระหว่าง 1Q84 และ Kafga on the Shore
"เวลาที่อยากให้มีใครมากอด
แต่ก็ไม่มีใครเลย
คุณพอจะเดาได้ไหมว่าจะรู้สึกยังไง?"
- ผม
(ฮารูกิ มูราคามิ,
"แดนฝันปลายขอบฟ้า
(Hard-boiled Wonderland and the End of the World)",
สนพ. กำมะหยี่, น. 249)
ภาพจาก gammemagie.com |
แดนฝันปลายขอบฟ้า
(Hard-boiled Wonderland and the End of the World)
ผู้เขียน: Haruki Murakamiผู้แปล: นพดล เวชสวัสดิ์
สนพ. กำมะหยี่, พิมพ์ครั้งแรก, ตุลาคม 2558
"ผม" ในเรื่องนี้มีชีวิตอยู่ในสองโลก ผม หนึ่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อว่า "ซิสเต็ม" งานใหม่ที่ได้รับคือการไปช่วยผู้เฒ่านักวิจัยคนหนึ่งทำงานคำนวณข้อมูล งานถนัด แต่ ผม ไม่รู้เลยว่า งานใหม่งานนี้คือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต เปลี่ยนในระดับ โลกแตกดับ
ส่วน ผม ในอีกโลก คือนักอ่านฝันคนใหม่แห่งดินแดนปลายขอบฟ้า ถูกตัดพรากเงาออกจากร่าง ความทรงจำก่อนหน้าขาดหาย เดินทางเข้าสู่มหานคร ดินแดนแสนสุขสงบเรียบง่าย แต่แฝงความลึกลับบางอย่าง ผม กำลังต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ จะอยู่หรือจะหนี เลือกได้เพียงทางเดียว
แดนฝันปลายขอบฟ้า หรือ Hard-boiled Wonderland and the End of the World นิยายเล่มหนาเล่มล่าสุด ผลงานของฮารูกิ มูราคามิที่ทางสนพ. กำมะหยี่นำมาตีพิมพ์ใหม่ให้แฟน ๆ ของเฮีย และนักอ่านทั้งหลายได้ครอบครองกันอีกครั้ง จะพาเราโจนทะยานเข้าสู่โลกแฟนตาซี sci-fi ดราม่า โรแมนติกแบบแปลก ๆ สไตล์มูราคามิ พบกับสัตว์ในตำนานแสนสวยอย่างยูนิคอร์น ภูติดำตัวร้าย องค์กรลับที่ห้ำหั่นกันแย่งชิงถือครองข้อมูล นักวิจัยสติเฟื่อง สาวน้อยสูทชมพูวัย 17 สาวบรรณารักษณ์กระเพาะยักษ์ มหานครที่ล้อมด้วยกำแพงใหญ่ ฯลฯ
เล่มนี้สนุกมาก อ่านแล้วนึกถึง 1Q84 กับ คาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ (Kafka on the Shore) ไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว แต่มีกลิ่นอายบาง ๆ คล้าย ๆ กันที่ชวนให้นึกถึง เรื่องราวดำเนินสลับกันไปในสองโลก ประหนึ่งเป็นโลกคู่ขนาน ผม ในทั้งสองโลกต่างรู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับเหตุการณ์บางอย่าง หรือคนบางคน ราวกับเคยพบเจอกันที่ไหนมาก่อน หากแต่เพียรนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ท่ามกลางเรื่องประหลาด คนแปลก ๆ ที่ผ่านเข้ามา ทั้งผม และ ผม ต่างก็มีภารกิจที่ไม่อาจไม่ทำ ไม่อาจไม่ตัดสินใจ ภายใต้ขีดจำกัดเรื่องเวลาที่บีบกระชับเข้ามา ไม่ช้า โลกจะถึงกาลแตกดับ
สิ่งที่ยังคงความขลังไม่เสื่อมคลายของมนต์มูราคามิคือ อารมณ์หน่วง ๆ จากการอ่าน เป็นอารมณ์ที่ไม่ถึงกับสุข เป็นความทุกข์ที่ไม่ถึงกับเศร้า (ถ้าไม่ติดว่าจำเนื้อเพลงไม่ได้ กะว่าจะพิมพ์ต่อจนจบเพลงอยู่เหมือนกัน - หน่วง Room 39) ติดออกจะเหงา ๆ โหวง ๆ คงเหมือนความรู้สึกของ ผม ในแดนฝันปลายขอบฟ้าที่มีต่อสาวบรรณารักษ์ "ผมพบกับเธอเป็นประจำทุกวัน แต่ห้วงกลวงเปล่าในอกยังดำรงอยู่...ทำไมนะ? ทำไมความหมองหม่นตรอมตรมในอกบาดลึกยิ่งขึ้น? ทำไมความเวิ้งว้างขยายกว้างทุกขณะ? นับเป็นบ่อน้ำที่ไม่มีวันเต็ม...บ่อน้ำลึกดำมืด สุดแสนจะทานทน" (น. 164)
และความประหลาดใจที่มีต่อเล่มนี้คือ เฮียเล่นมุกเยอะ (กว่าเล่มอื่น) อ่ะ คือมีช็อตให้ขำเบา ๆ กับความยียวนของบทสนทนา ตลกหน้าตาย หรือความคิดของตัวละคร และตัวที่เราว่าแสบสันที่สุดก็แม่เจ้าประคุณสาวน้อยชุดชมพู อ่านแล้วต้องจุ๊ปากไม่หยุดกับความก๋ากั่น ความเปิดเผยของแม่นาง นังนี่มันร้ายยยยยยยยยค่ะคุณผู้โชมมมมมม สไปรท์ ฮอร์โมนฯ ยังต้องร่ำไห้ให้กับความกล้าของนาง จำไว้ แล้วไหนจะ กระบองพองยาว หรือพีระมิดแห่งกิซาอีก สารพันจะหาคำมาบรรยาย (และอาจจะต้องยกคุณงามความดีให้ผู้แปลด้วย ที่ถ่ายทอดความหมายออกมาได้เห็นภาพชัดเจนมาก 55)
"คนเราใช้เวลาทั้งชีวิตในการสร้าง ใช้เวลาไม่กี่นาทีในการทำลายล้าง" (น. 204) และใช้เวลาไม่นานในการอ่านหนังสือสนุก ๆ สักเล่ม ถ้าไม่นับเรื่องรายละเอียดทางเทคนิกที่ผู้เฒ่านักวิจัยอธิบายเรื่องราวให้ ผม ฟัง ซึ่งอ่านแล้วเรางงตึ้บ แดนฝันปลายขอบฟ้า นี่ก็จัดอยู่ใน 1 ไม่กี่เล่มของเฮียมูที่เนื้อหาไม่หนัก ไม่กดดันเท่าไร พอจะอ่านง่ายอยู่บ้าง หลังอ่านจบเราจัดให้อยู่ในอันดับเล่มโปรดที่สุดสามอันดับแรกถัดจาก 1Q84 และ คาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ (Kafka on the Shore)
สุดท้ายแล้ว โลกไหนจะแตกดับ โลกไหนจะดำรงอยู่ การตัดสินใจของ ผม จะพาเรื่องราวไปสู่บทสรุปใด อยากรู้ ต้องอ่าน ;)
Comments
Post a Comment