บล็อกนี้ตั้งใจเขียนเป็นบันทึกประจำวันสำหรับภารกิจที่ไปทำมาในวันหยุด วันอาสาฬหบูชา 30 ก.ค. นาน ๆ ทีจะยอมออกจากถ้ำ (บ้าน) ไปข้างนอกในวันหยุดกับเขาสักทีหนึ่ง ด้วยความตั้งใจจะไปดูนิทรรศการที่หอศิลปและวัฒนธรรมกรุงเทพฯ คือ Photo Bangkok 2015 และ Pause ทีนี้ไหน ๆ ออกไปทั้งทีก็เลยหาอย่างอื่นทำเพิ่มอีก แล้วก็ตกลงกันที่จะไปดูหนัง ได้ตัวเลือกมา 2 เรื่องคือ Mission Impossible 5 กับ The Road Within เรื่องแรกหนังดัง เพิ่งเข้าฉายอาทิตย์แรกพอดี มั่นใจมากว่าคนแห่ไปดูกันเยอะแน่ ๆ เลยตัดสินใจเลือกดู The Road Within แบบไม่ลังเลอะไรมาก ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าหนังมันเกี่ยวกับอะไร เรียกได้ว่าไปดูหนังครั้งนี้ไปแบบไม่ได้เตรียมตัว ไม่มีข้อมูล ไม่เคยดูตัวอย่าง ชื่อหนังก็ยังจำไม่ได้จนกระทั่งไปซื้อตั๋ว กะไปวัดดวงเอาตอนดูนั่นเลยว่าเป็นไง
เริ่มต้นกิจกรรมวันหยุดด้วยการ "กิน" ก่อนเลยแล้วกัน หิวมาก ไปถึงพารากอนก็นึกอยากกินอาหารญี่ปุ่น เลยไปจบลงที่ฟูจิ กินคราวนี้ตัดสินใจสมัครบัตรสมาชิกด้วย แบบงง ๆ นะ คือมันใช้รับส่วนลดแบบบัตร MK หรือ Zen ไม่ได้ทันทีนะ ต้องสะสมแต้มก่อน แล้วค่อยรับส่วนลดตอนแต้มครบแล้ว (ทุก 300 บาทได้ 1 แต้ม) แต่เห็นยังมีสิทธิประโยชน์อื่นอีก แถมกินบ่อยอยู่แล้วเลยลองสมัครดูก่อน ถ้าไม่โอเคก็ไม่ต่ออายุละกัน
|
ซีฟู้ดเทมปูระ ที่ต้องช่วยกิน เพราะคนสั่งมันกินไม่หมด |
พออิ่มแล้วก็มุ่งหน้า CTW จะไปซื้อตั๋วหนัง เดินไปตรงทางเข้าใหม่ฝั่ง Groove ที่เพิ่งทำเสร็จ ลองเดินเข้าไปดูก็ไปเจอกับนิทรรศการผลงานของศิลปินท่านหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ แสดงอยู่ตรงจุดเชื่อมสามด่าน Groove, CTW Office, และห้าง CTW นิทรรศการนี้รู้สึกจะชื่อ A Trip to Jeremyville โดยศิลปินชื่อดังจากอเมริกา Jeremyville อ่านประวัติและผลงานของเขาได้ตรงโซนจัดแสดง
|
ประวัติและผลงานของศิลปิน |
|
ผลงานวาดบนกำแพง ชอบสีสัน กับลายเส้น น่ารักดี |
|
บางส่วนของผลงานบนกำแพงอีกด้าน คัดมาเฉพาะรูปที่เราชอบเป็นพิเศษ |
ดู Jeremyville เสร็จก็ถึงเวลาไปซื้อตั๋วหนัง ได้ตั๋วรอบ 14:30น. The Road Within นอกจากจะเป็นหนังนอกกระแส ยังเจอหนังดังอย่าง Mission Impossible 5 ชนโรงอีก รอบฉายเลยน้อยเอามาก ๆ อย่าง SF นี่ก็มีฉายแค่ที่ CTW ที่เดียว เครือเมเจอร์ที่พารากอนก็มีฉายแค่โรงเดียว 2 รอบ ถ้าไม่รีบดูไว้ก่อนคิดว่าอาทิตย์หน้าก็จะยิ่งหารอบดูยากกว่านี้อีก
The Road Within เล่าเรื่องราวเด็กวัยรุ่นสามคนในศูนย์บำบัดอาการทางจิตเวช ทั้งสามคนมีอาการป่วยแตกต่างกัน วินเซนต์ (รับบทโดย Robert Sheehan) ป่วยเป็นโรคทูเรตต์ (Tourette Syndrome) ซึ่งเกิดจาภาวะผิดปกติของระบบประสาทในสมอง เขามีอาการชักกระตุก และมักจะหลุดพูดคำหยาบออกมาในทันทีทันใดโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ (อ่านข้อมูลเกี่ยวกับโรคเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์นี้
Tourette Syndrome)
มารี (รับบทโดย Zoë Kravitz) ป่วยเป็นโรคกลัวอ้วน หรือ Anorexia เธอมีปัญหาเกี่ยวกับการกิน เธอไม่ยอมกินอาหาร และล้วงคอให้อ้วกอยู่บ่อย ๆ สิ่งที่อธิบายความทุกข์ทรมานของโรคนี้ได้ชัดเจนน่าจะเป็นคำอธิบายที่หมอโรสให้กับโรเบิร์ต (พ่อของวินเซนต์) ว่า "สำหรับเราสิ่งที่เห็นคือความผอมแห้งเหลือแต่กระดูก แต่สำหรับเธอมันคือไขมัน" การที่เธอไม่ยอมกินอะไรเลยอาจทำให้เธอตายได้ (อ่านข้อมูลเกี่ยวกับโรคเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์นี้
Anorexia โรคกลัวอ้วน/โรคคลั่งผอม)
อเล็กซ์ (รับบทโดย Dev Patel) เขาเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ หรือ OCD - Obsessive-Compulsive Disorder เวลาเปิดประตู อเล็กซ์จะเปิด ปิด เปิด ปิดอยู่อย่างนั้นหลายครั้ง ถึงจะเปิดแล้วเดินออกจากห้องได้ นอกจากนี้เขายังรักความสะอาดเอามาก ๆ สวมถุงมือยางตลอดเวลา และเกลียดการถูกสัมผัสจากคนอื่นอย่างรุนแรง เพราะเขากลัวจะติดเชื้อโรค เพราะงั้นเมื่อหมอโรสให้วินเซนต์มาเป็นรูมเมตกับอเล็กซ์ พอนึกภาพออกไหมว่าจะวุ่นวายขนาดไหน (อ่านข้อมูลเกี่ยวกับโรคย้ำคิดย้ำทำได้ที่ลิงค์นี้
OCD โรคย้ำคิดย้ำทำ)
วินเซนต์ถูกส่งมาอยู่ที่ศูนย์นี้หลังจากงานศพของแม่ คนเพียงคนเดียวที่เขามีปฏิสัมพันธ์ด้วยมาตลอดชีวิต เมื่อมารีแอบขโมยกุญแจรถของหมอโรสและชวนเขาหนี เขาก็ตกลงไปด้วย พวกเขาตั้งใจจะไปทะเลตามความต้องการของวินเซนต์ที่อยากนำเถ้ากระดูกของแม่ไปที่ที่แม่เขาอยากกลับไปมากที่สุด (แต่เล่นเอาเถ้าของแม่ใส่ในกระป๋องลูกอมเนี่ยนะพ่อคุณ) แต่แล้วก็มีเหตุไม่คาดฝันเมื่อสมาชิกร่วมเดินทางดันเพิ่มขึ้นมาอีก 1 โดยไม่ตั้งใจ อเล็กซ์รูมเมตจอมโวยวายของวินเซนต์พ่วงติดขบวนมาด้วยในแบบที่ไม่รู้จะเรียกว่าบังเอิญ หรือเวรกรรมดี แล้วการผจญภัยของเด็กป่วยทั้งสามก็เริ่มขึ้นอย่างทุลักทุเล และอลเวงไปตลอดทาง
หนังสนุกดี ที่ซึ้ง ๆ ทำน้ำตาซึมก็มีแต่ไม่ได้ดราม่าเรียกน้ำตามากเกินไป มีฉากให้ฮากันอยู่เรื่อย ๆ เด็กทั้งสามคนเนื่องจากอาการป่วยทำให้พวกเขามีปัญหาในการเข้าสังคมกับคนอื่น แน่นอนว่านอกจากอาการป่วยที่ทนทรมานมานานแล้ว พวกเขาคงต้องแบกรับความเปลี่ยวเหงาและความแปลกแยกไว้ไม่น้อย การออกเดินทางครั้งนี้ทำให้พวกเขาได้รู้จักมิตรภาพและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน เรียกว่าอาจเป็นการบำบัดอาการให้แต่ละคนไปโดยไม่ตั้งใจก็ได้ล่ะมั้ง
พ่อของวินเซนต์เองจากที่เคยรับมือกับอาการป่วยของลูกตลอดมาด้วยการหนี เพราะความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ไม่อยากยอมรับ และเพราะความอาย ก็ได้เรียนรู้ที่จะหันมามองคำพูดและการกระทำของตัวเอง และเปิดใจให้ลูกชายคนนี้มากขึ้น พ่อแม่ที่มีลูกป่วยไม่ว่าจะเป็นอาการแบบไหนก็ตาม เราว่าต้องเข้มแข็งมาก ๆ นะ ถึงจะต่อสู้กับความทุกข์ใจนั้นได้ การเป็นคนป่วยนั้นทรมาน แต่คนที่เห็นคนที่รักต้องทรมานจากอาการป่วยนั้นน่าจะเป็นทุกข์ไม่น้อยไปกว่ากัน หรือบางทีอาจมากกว่า เพราะว่ารู้สึกว่าตัวเองทำอะไรเพื่อช่วยอีกฝ่ายไม่ได้เลย
ตอนดูจบน้องหันมาถามว่าอเล็กซ์เป็นเกย์เหรอ คือมันมีเหตุการณ์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นในหนัง ซึ่งเป็นฉากชวนจิ้นอ่ะนะ อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นไปดูในหนังละกัน ไม่ขอสปอยล์มากกว่านี้ละ จริง ๆ ถ้าจะจิ้นไปในทางนั้นมันก็น่าจิ้นอยู่ บรรยากาศบางอย่างระหว่างทางมันก็พาให้คิด แต่เรายังไม่อยากมองไปในทางนั้น บอกน้องไปว่าบางทีอเล็กซ์อาจแค่หวงเพื่อน เพราะนี่อาจเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาจะเรียกใครสักคนว่าเพื่อน และตัวเขาเองคงรู้สึกเป็นส่วนเกินในภาวะนั้น อีกอย่างหนึ่งที่เพิ่งมาลองนึกดู อาจเป็นไปได้ว่าจริง ๆ แล้วอเล็กซ์อาจจะกำลังอิจฉาที่วินเซนต์และมารีถูกเนื้อต้องตัวกันได้ ตัวเขาเองก็คงอยากจะรับสัมผัสจากใครสักคนมาตลอด แต่เพราะอาการของโรคที่ทำให้เขาไม่ยอมเข้าใกล้ใคร แต่ไม่ว่าจริง ๆ แล้วจะเป็นยังไงก็เอาเถอะ มิตรภาพดี ๆ เป็นเรื่องดีแหละเนอะ
โรคที่เกิดจากความบกพร่องของระบบประสาท สารเคมีในสมอง หรือภาวะทางจิตนั้นน่ากลัวนะ เพราะแม้แต่ตัวผู้ป่วยเองก็อาจไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร จะให้อธิบายออกมาก็คงยาก หรือต่อให้อธิบายได้ก็ใช่ว่าคนรอบข้างจะเข้าใจ ความรู้ความเข้าใจของคนในสังคมก็มีไม่มาก อย่างฉากที่วินเซนต์เข้าไปซื้อของในปั๊มแล้วอาการกำเริบ ชายชราเจ้าของร้านมองเขาว่าจงใจก่อกวน นั่นก็เพราะความไม่รู้ ไม่รู้ว่าวินเซนต์ป่วย เพราะภายนอกวินเซนต์ก็ดูปกติดี พอไม่รู้ ก็เลยไม่เข้าใจว่านั่นคืออาการของโรคทูเรตต์ ทำให้เขามองวินเซนต์ในแง่ร้ายแบบนั้น การไปพบจิตแพทย์ก็อาจถูกมองว่าเป็นคนบ้า เป็นโรคจิต ซึ่งเป็นความคิดความเข้าใจที่ควรหายไปได้แล้วมั้ง ระวังอย่านิ่งนอนใจ อย่าละเลยสัญญาณใด ๆ ที่คนข้าง ๆ เราส่งออกมา เพราะความป่วยไข้ในจิตใจ ในสมองนั้นมันมาแบบเงียบ ๆ และพรากคนที่เรารักไปได้ง่าย ๆ นอกจากนี้ก็อย่ารีบด่วนตัดสินใคร ไปด่าหรือประจานเขา เพราะบางทีสิ่งที่เขาทำหรือพูดอาจเกิดจากอาการป่วยก็ได้
ใครอยากหลบหนังกระแส หลบคนแน่นโรงหนังล่ะก็ The Road Within เป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว ลองไปดูกันก่อนจะถูกถอดออกจากโรงนะคะ เอาล่ะ ดูหนังจบเดี๋ยวพาไปทัวร์งานนิทรรศการน่าสนใจที่ bacc กันต่อเลยแล้วกัน ไปคราวนี้เดินดูงานน่าสนใจหลัก ๆ มา 4 งานเลย เริ่มที่งานแรก "นิทรรศการศิลปนิพนธ์ ครั้งที่ 45" ของน้อง ๆ มหาวิทยาลัยศิลปากร มีงานเจ๋ง ๆ เก๋ไก๋ให้เดินดูเยอะเลย เอาภาพงานชิ้นที่เราชอบ ๆ มาให้ดูสองสามชิ้นละกัน
|
ป้ายชื่องานเก๋ดี รวมเลขเด็ด
งานมีสองชั้น ชั้น L ตรงหน้าห้องสมุดศิลปะ กับชั้น 1 |
|
งานชิ้นนี้ชอบมาก เข้าใจว่าเป็นงานปักนะ
ความพยายามและความตั้งใจไม่น้อยเลย |
|
น้องสองคนนี้ออกแบบปกหนังสือ
คนละแบบ คนละสไตล์ ผลงานน่าสนใจ
สักวันอาจได้เห็นผลงานของน้อง ๆ บนปกหนังสือของสนพ. สักที่หนึ่ง
(หรืออาจจะเคยได้เห็นแล้วหนอ?) |
|
อันนี้งานปั้นล่ะมั้ง น่ารักมาก ไอเดียเริ่ดอ่ะ |
ถัดมาก็ขึ้นไปดู "Photo Bangkok 2015: International Photo Festival" ที่ส่วนจัดแสดงชั้น 9 งานนี้รวบรวมผลงานภาพถ่ายของศิลปินทั้งไทยและเทศมากมาย งานมีตั้งแต่ 29 ก.ค. - 4 ต.ค. โน่นแน่ะ ยังมีเวลาให้ไปดูกันอีกยาว รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก
Photo Bangkok 2015 Exhibition
|
ถ่ายป้ายชื่องานมาตามธรรมเนียม |
|
เดินเข้าไปเจอรูปนี้รูปแรก ชอบโทนแสงมาก ๆ |
|
ส่วนจัดแสดงของช่างภาพคนนี้จัดเป็นห้องเลย
เหมือนเดินเข้าไปในบ้าน จำไม่ได้ละว่าเป็นคนมาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย
เข้าไปด้านในเจอพรมสี ๆ สวยดีอ่ะ อยากเข้าไปยืนถ่ายตรงกลางมาก
มองหาใหญ่เลยว่ามีป้ายห้ามเข้า หรือห้ามจับผลงานไหม แต่ก็ไม่เจอ
แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าเสี่ยงนะ ถ่ายแค่นี้ละกัน 55 |
|
ภาพชุดนี้ป็นของช่างภาพคนไทย
เขาถ่ายรูปอาม่า ซึ่งป่วยเป็นอัลไซเมอร์
คำอธิบายภาพชุดนี้จำได้ว่าเขาต้องการสื่อหรือเก็บความทรงจำไว้ในขณะที่ยังจำได้หรือไงเนี่ยล่ะ |
อีกงานที่จัดอยู่บนชั้น 9 เหมือนกัน คือ Pause จัดแสดงตั้งแต่ 30 ก.ค. - 1 พ.ย. ยาว ๆ กันไปเลยทีเดียว จัดโดยโฟโต้บางกอก นำภาพถ่ายของช่างภาพในกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งเคยถ่ายไว้ในวาระโอกาสต่าง ๆ กัน มาจัดแสดงร่วมกัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Pause Exhibition
ภารกิจเดินเล่นหอศิลป์จบละ แถมได้หนังสือของคุณวรพจน์ พันธุ์พงศ์ติดมือกลับมาจากร้าน bookboby ด้วยเล่มหนึ่ง "โปสการ์ดจากทับแก้ว" แล้วก็เล็ง ๆ ชุด know series แบบ box set ไว้ด้วย คราวหน้าแวะมาคงได้พากลับบ้าน
เริ่มต้นวันด้วยการกิน ก็ขอจบวันด้วยการกินเช่นเดียวกัน มื้อเย็นฝากท้องที่ร้านบ้านหญิง สยามเซ็นเตอร์ แล้วต่อด้วยของหวานที่ร้านใจเย็น คาเฟ่ สยามพารากอน เป็นอันจบวันชิล ๆ ไปแบบเมื่อยขาพอประมาณ
|
เกี๋ยวน้ำไข่เค็ม บ้านหญิง |
|
ข้าวผัดอะไรไม่รู้ บ้านหญิง |
|
Summer Beach ไอสกรีมรสชาไทย กับคุกกี้แอนด์ครีม
ชาไทยหอมมาก แต่มันมีเกล็ดน้ำตาลด้วยอ่ะ ไม่ชอบเท่าไร
คุกกี้แอนด์ครีมอร่อยดี
ร้านใจเย็น คาเฟ่, พารากอน ชั้น 3 |
|
Matcha Affogato ไอศกรีมชาเขียว กับนมฮอกไกโด
ชอบรสนมมาก หวานหอม อร่อย
ร้านใจเย็น คาเฟ่, พารากอน ชั้น 3 |
Comments
Post a Comment