[Spoiler Alert] น้ำหอม (Das Parfum) by Patrick Süskind

"ผู้ใดที่สามารถควบคุมกลิ่นได้แล้ว
ย่อมครอบครองหัวใจแห่งผู้คน"
- Patrick Süskind, น้ำหอม (Das Parfum), น. 213


"น้ำหอม (Das Parfum)"
ผู้เขียน: Patrick Süskind
ผู้แปล: สีมน (แปลจากภาษาเยอรมัน)
สำนักพิมพ์ ดับเบิ้ลนายน์, พิมพ์ครั้งที่ 3, พฤศจิกายน 2545

**เนื้อความต่อจากนี้สปอยล์ล้วน ๆ เลยนะคะ**

          นี่เป็นอีกหนึ่งในรายการที่ตั้งใจว่าจะอ่านให้จบในปี 2558 นี้ จำได้ว่าเคยดูหนังที่สร้างจากนิยายเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว ฉากที่จำได้ติดตาคือ ผู้หญิงที่ถูกจับใส่ในโถแก้วยักษ์ และจำได้แค่เลา ๆ ว่าตัวเอกเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ตามล่าหญิงสาวเพื่อนำพวกเธอไปปรุงน้ำหอม แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าหนังเรื่องนี้สร้างจากนิยายของ Patrick Süskind และมีแปลเป็นภาษาไทยจากต้นฉบับภาษาเยอรมันโดยคุณสีมน จนมีพี่คนหนึ่งมาขอให้ช่วยหาหนังสือเล่มนี้ให้ ช่วงที่ตามหานี่แหละถึงได้คุ้นพล็อตว่ามันคือเรื่องเดียวกับหนังที่เคยดู

          การตามหาหนังสือเรื่องนี้ใช้เวลานานพอดู มือหนึ่งนี่ไม่มีหวังเลยตอนนั้น ก็เลยมุ่งไปหาตามเว็บหนังสือมือสองแทน เล่มแรกที่หาเจอก็ให้พี่ไป แล้วก็ตามหาให้ตัวเองต่อ ไปเจอเล่มนี้เข้าในเว็บขายหนังสือมือสองซึ่งคงเป็นเว็บของคนไทยที่อยู่เยอรมัน เป็นหนังสือภาษาไทยมือสองเล่มแรกในชีวิตที่ถึงกับสั่งซื้ออิมพอร์ตเข้ามาจากต่างประเทศเชียวนะคุณ​ ราคาก็สูงกว่าเล่มที่หาได้ในไทยพอสมควร บางทีก็ไม่เข้าใจกับความดันทุรังของตัวเองเหมือนกันที่ถึงกับต้องลงทุนขนาดนี้ มาคิดได้เอาตอนนี้ว่าขอยืมพี่เขาอ่าน หรือหาจากห้องสมุดน่าจะง่ายกว่ามั้ง (_ _")
          
          น้ำหอม หรือ Das Parfum ในฉบับภาพยนตร์ในปี 2006 (เข้าฉายในไทย 2007 ตามข้อมูลจาก IMDB) ใช้ชื่อเรื่องว่า Perfume: The Story of a Murderer เรื่องราวของชายผู้ "ไร้กลิ่น" แต่กลับมีจมูกที่รับกลิ่นได้ดีเยี่ยม แต่กลับนำความสามารถไปใช้สนองความทะเยอทะยานของตัวจนเป็นเหตุให้เกิดการฆาตกรรมสยองขวัญ หนังสร้างได้หลอนดี Ben Whishaw ผู้รับบทเป็นเกรอนุย พ่อหนุ่มไร้กลิ่นจอมโหดก็เล่นได้ดูโรคจิต ลึกลับมาก โดยเฉพาะฉากที่โผล่มาข้างหลังสาวผมแดง เหยื่อรายแรกนั่นน่ะโคตรหลอนเลย หนังยาว 2 ชม. กว่าได้ ดัดแปลงบางจุดต่างจากในหนังสือไปบ้าง ถ้าดูหนังโดยที่ไม่ได้อ่านหนังสืออาจมีงง ๆ กันบ้าง ในหนังสือเราจะเข้าใจความนึกคิดของเกรอนุยได้มากกว่า เพราะในหนังแม้นักแสดงจะพยายามสื่อออกมาทางสีหน้าและท่าทาง แต่รายละเอียดลึก ๆ จริง ๆ ยังไงหนังสือก็ทำหน้าที่อธิบายได้ดีกว่า

Poster หนัง สวยมาก
(ภาพจาก IMDB)


ตัวอย่างหนัง Perfume: The Story of a Murderer (2006)

          ตัวหนังสือนั้นบทบรรยายเยอะมาก ไม่ค่อยมีบทพูด (ก็พ่อเกรอนุยเขาไม่ใช่คนช่างพูดเอาเสียเลย) หลายช่วงหลายตอนที่รู้สึกว่าเรื่องมันยืดยาดมากไปหน่อย อ่าน ๆ แล้วก็เบื่อ ตรึงเราไม่ค่อยอยู่ แต่ภาษาที่ใช้ดีมาก น่าสนใจ สำนวนแปลของคุณสีมนก็สุดยอดมาก ในแง่ของวรรณศิลป์นี่เราให้เต็ม 10 เลยนะ แต่การเดินเรื่องไม่ค่อยสนุกเลยให้ 6/10 ละกัน 

          เรื่องแบ่งออกเป็นสี่ภาค บรรยายเหตุการณ์ในช่วงต่าง ๆ ของเกรอนุย ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต ในศตวรรษที่ 18 ณ ประเทศฝรั่งเศส เกรอนุยคลอดออกมาใต้แผงขายปลาในตลาด กรุงปารีส และเพียงแรกเกิดเขาก็เป็นเหตุให้มารดาต้องโทษถูกแขวนคอเพราะพยายามฆ่าลูกตัวเอง (แม่เขาเคยคลอดลูกมาแล้วหลายคนใต้แผงขายปลานั่นแหละ แต่เด็กคลอดออกมาแล้วก็ตายหมด นางคิดว่าเกรอนุยก็คงเหมือนลูกคนก่อน ๆ ปล่อยทิ้งไว้เดี๋ยวก็ตาย) หลังถูกแม่นมผลักไสคืนให้กับทางโบสถ์เพราะกินจุเกินไป และความกลัวในเด็กประหลาดคนนี้ "เด็กคนนี้ไม่มีกลิ่น ไม่มีกลิ่นอะไรเลย" หลวงพ่อแทร์ริแยร์ซึ่งเมื่อแรกก็นึกเอ็นดู แต่ไม่นานก็เกิดกลัว ขยะแขยงเด็กคนนี้ขึ้นมาเหมือนกันก็นำเขาไปทิ้งที่เมืองใกล้ ๆ ด้วยไม่อยากให้เด็กมีหนทางกลับมาสู่ตนอีก เกรอนุยจึงมาอยู่ในความดูแลของมาดามจีญารด์ จมูกของมาดามรับกลิ่นไม่ได้ และตัวเธอเองก็ไร้ความรู้สึกรู้สาต่อเรื่องต่าง ๆ อยู่แล้ว การที่เกรอนุยไม่มีกลิ่นจึงไม่มีผลอะไรต่อเธอเหมือนที่มีต่อคนอื่น ๆ เด็ก ๆ ในบ้านกำพร้านั้นต่างก็หวาดกลัวเขา จมูกของเกรอนุยรับกลิ่นได้ดีมาก เพียงแค่ดมเขาก็บอกได้ว่าไม้ที่ดมนั้นเป็นไม้อะไร หรือนมที่ดื่มนั้นมาจากแม่วัวตัวไหน และวัวตัวนั้นกินอะไรเป็นอาหาร (อ่านตรงนี้แล้วนึกถึงโรสใน อารมณ์เศร้า เลม่อนเค้กความสามารถคล้าย ๆ กัน แต่หนูโรสนั้นทรมานกับความสามารถนี้มากกว่า) เกรอนุยสามารถบอกที่ซ่อนเงินของมาดามจีญารด์ได้อย่างแม่นยำ และยังสามารถบอกได้ว่าใครกำลังแวะมาหาทั้ง ๆ ที่คน ๆ นั้นยังไม่พ้นประตูเข้ามา

           พออายุ 8 ขวบมาดามจีญารด์ก็นำเขาไปขายให้เมอซิเออร์กรีมาล ช่างฟอกหนัง เพียงแค่ได้กลิ่นครั้งแรกเกรอนุยก็รู้ว่าเมอซิเออร์กรีมาลนั้นสามารถทุบตีเขาได้โดยไม่ลังเล เขาจึงตั้งใจทำงานโดยไม่ปริปากบ่น มักน้อยไม่เรียกร้องอะไร หลังจากทำงานอยู่กับน้ำหมักหนังสัตว์มานาน เขาก็ติดเชื้อแอนแทร็กซ์ ทุกคนคิดว่าเขาคงไม่รอดแน่ แต่แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เขารอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหาริย์ หลังจากนั้นเขาก็ได้รับการปฏิบัติที่ดีขึ้น เขากลายเป็นคนงานที่มีคุณค่าต่อเมอซิเออร์กรีมาล ยามว่างเขามักจะแอบหลบไปดมกลิ่นต่าง ๆ ที่ลอยฟุ้งอยู่ทั่วกรุง ดมแล้วแยกแยะแต่ละกลิ่นออกจากกัน "มันเป็นความรื่นรมย์ใจอันใหญ่ยิ่งของเกรอนุยที่จะแก้ดึงเอาเส้นสายกลิ่นนั้น ๆ แยกออกมาจากกลิ่นรวม" (น. 44) เกรอนุยได้กลิ่น "น้ำหอม" ครั้งแรกในย่านคนรวย แขวงแซงต์แจร์แมง

          ในคืนวันฉลองราชาภิเษกแห่งกษัตริย์ฝรั่งเศส เกรอนุยได้กลิ่นซึ่งดึงดูดใจเขาเหลือล้น กลิ่นซึ่งทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นส่ำด้วยความตื่นเต้นเป็นครั้งแรก เขาตามกลิ่นนั้นไปจนพบว่าเป็นกลิ่นของเด็กสาวคนหนึ่ง เขาพลั้งมือฆ่าเธอตายด้วยความปรารถนาจะสูดดมกลิ่นนั้นให้ชุ่มปอด แล้วเขาตระหนักถึงความต้องการแรกในชีวิต "เกรอนุยได้ค้นพบเข็มทิศแห่งชีวิตในช่วงต่อไปของเขาแล้วในบัดนี้" (น. 58)

          เกรอนุยผู้ที่ในตอนนี้เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ฉวยโอกาสตอนไปส่งหนังให้พาร์ฟูมเมอร์ เมอซิเออร์บาลดินี แสดงความสามารถในการปรุงน้ำหอมและขอมาทำงานด้วย เพราะเขาอยากจะเรียนวิธีทำน้ำหอม บาลดินีรับเขาไว้ด้วยความลิงโลด เพราะมุ่งหวังผลประโยชน์ที่จะได้จากเกรอนุย เกรอนุยใช้ความสามารถพิเศษในการรับกลิ่นปรุงน้ำหอมให้บาลดินีมากมาย จนกิจการการค้าของเขากลับมารุ่งเรืองร่ำรวยอีกครั้ง แลกกับการที่บาลดินีสอนวิธีกลั่นกลิ่นจากดอกไม้ให้กับเขา แล้วเกรอนุยก็เริ่มขยับการทดลองไปยังวัตถุไร้ชีวิต อย่างก้อนหิน หรือน้ำจากแม่น้ำแซน ฯลฯ "เกรอนุยเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ด้วยหม้อต้มกลั่นอาลัมบิกนี้ เขาจะสามารถกลั่นสกัดเอากลิ่นเชื้อคุณลักษณ์ของวัตถุนั้นออกมาได้" (น. 134) เกรอนุยไม่รู้เลยว่าการกลั่นเอาน้ำมันหอมระเหยนั้นเป็นเพียงการแยกสารประกอบ และไม่สามารถใช้ได้กับทุกอย่าง และพอเขารู้ก็มีอันล้มป่วยหนักเจียนตายอีกหน แต่ก็เหมือนเช่นเคย เขารอดชีวิตมาได้อีกครั้ง บาลดินีบอกเขาว่ายังมีวิธีอื่นอีกสำหรับการสกัดกลิ่น แต่เขาไม่สามารถสอนเกรอนุยได้ เกรอนุยจึงตัดสินใจออกเดินทางจากปารีสมุ่งหน้าลงใต้เพื่อไปเรียนวิธีสกัดกลิ่นเพิ่มเติมที่เมืองกราส ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าพาร์ฟูมเมอร์ทั้งปวง

          กลิ่นหอมสดชื่นของธรรมชาติ และอิสระจากการออกเดินทางทำให้เกรอนุยพบว่าโลกที่ไม่มีผู้คนนั้นน่าอยู่ยิ่งนัก เขาเริ่มเลี่ยงเส้นทางที่ผ่านเมือง หรือแหล่งชุมชน และเปลี่ยนไปเดินทางในเวลากลางคืนแทน ความมืดไม่เป็นปัญหาต่อเขา เพราะยังไงเขาก็ใช้จมูกในการดมกลิ่นนำทาง (อ่านตรงนี้แล้วนึกภาพอิตาเกรอนุยเป็นน้องหมาไปซะงั้น) มีแต่ตอนที่ต้องหาเสบียงเพิ่มเท่านั้นที่จะเข้าไปติดต่อกับคนอื่นบ้าง สำหรับเกรอนุยแล้วแค่เพียงพบกับนักเดินทางที่นาน ๆ จะผ่านมาสักคนสองคนเพียงแค่นั้นก็เหลือจะทน แต่ถึงจะพยายามหลบเลี่ยงแค่ไหน เกรอนุยก็รู้ดีว่า "คน" เหล่านั้นไม่ได้หายไปจากโลกจริง ๆ แม้ในยามค่ำคืนจะไม่มีคนออกมาเดินเพ่นพ่านให้เห็น แต่ "กลิ่น" ของพวกเขาไม่ได้จางหายไปไหน พวกเขาเพียงแต่หลบพัก นอนหลับอยู่ในบ้าน ในที่พักก็เท่านั้น

          เมืองกราสไม่ใช่จุดหมายหลักของเกรอนุยอีกแล้ว เขาพึงพอใจกับการเดินทางหลบหลีกผู้คนไปเช่นนี้เรื่อย ๆ จนไปถึงภูเขาไฟพล็อมบ์ดูคองตาล สถานที่นี้แห้งแล้ง และแทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ แต่เกรอนุยกลับถูกอกถูกใจในความเงียบสงบเป็นหนักหนา เขาพบช่องแคบ ๆ ที่พอจะขดตัวอยู่ได้ และอาศัยอยู่ที่นี่นานถึง 7 ปี โดยอาศัยจับพวกงู กิ้งก่า ฯลฯ กินเป็นอาหาร (บรรยายได้อี๋มาก คือกัดหัวกิ้งก่าขาดงิ) เขาติดอยู่ในโลกแห่งจินตนาการของกลิ่นที่เขาสร้างขึ้น อาณาจักรซึ่งเขาครอบครองในความฝัน แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็หลุดออกมาจากโลกในความฝันนั้น เมื่อจู่ ๆ เขาก็ตระหนักรู้ว่าเขา "ไม่มีกลิ่น" เขาพยายามดมเนื้อตัวของตัวเองแต่ก็ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย เมื่อความตระหนกเริ่มจางลง เขาก็คิดว่า "นั่นน่ะไม่ใช่เป็นว่าเราไม่มีกลิ่น เพราะว่าทุกสิ่งย่อมมีกลิ่นทั้งนั้น แต่ที่เราไม่ได้กลิ่นตัวของเรา ก็เพราะเราได้กลิ่นตัวนับแต่เกิดมาทุกวี่ทุกวันจนจมูกของเราด้านต่อกลิ่นของตนเอง เป็นอย่างนี้เสียมากกว่า" (น. 185) เกรอนุยถอดเสื้อผ้าซึ่งเปื่อยขาดรุ่งริ่งออกจนหมด และเดินห่างออกจากจุดที่พักอยู่ เพราะเชื่อว่าถ้าแยกจากกลิ่นเดิมที่ตนคุ้นชิน ก็จะสามารถได้กลิ่นตัวเองในที่สุด แต่แล้วเขาก็ต้องพบกับความผิดหวัง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ได้กลิ่นตัวเอง

          เกรอนุยออกเดินทางอีกครั้งในสภาพผมเผ้าหนวดเครายาวรุงรัง เมื่อไปถึงปิแยร์พอร์ตเขาก็สร้างความแตกตื่นให้ผู้คน จนร่ำลือไปถึงหูของท่านมาร์กีส์เดอลา แตย์ยาดเอสปินาส เจ้าเมืองและสมาชิกวุฒิสภาแห่งตูลูส ท่านมาร์กีส์ให้คนนำมนุษย์ถ้ำผู้นี้ไปพบที่ห้องทดลองเพื่อตรวจสภาพร่างกาย และใช้เขาเป็นกรณีศึกษาในงานทดลองเรื่องธาตุน้ำพิษที่ทำลายร่างกาย เนื่องจากสภาพที่อยู่อาศัยที่เกรอนุยเคยอยู่มานานถึง 7 ปีได้ทำลายร่างกายของชายหนุ่มวัย 25 จนกลายเป็นสภาพทรุดโทรมเหมือนชายชรา เกรอนุยแสร้งให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ท่านมาร์กีส์ตื่นเต้นปรีดากับผลสำเร็จของการทดลองอย่างมาก วันหนึ่งเกรอนุยแสร้งทำมารยาว่าเหม็นกลิ่นน้ำหอมไวโอเล็ตที่ท่านมาร์กีส์ใช้ประจำเสียเหลือเกิน และขอปรุงกลิ่นใหม่ให้ ซึ่งท่านก็ยินยอมด้วยเกรงว่าหนูทดลองอันมีค่าของท่านจะเป็นอะไรไปเสียก่อน นอกจากน้ำหอมกลิ่นใหม่แล้ว เกรอนุยยังลอบปรุงน้ำหอม "กลิ่นมนุษย์" เพื่อเลียนกลิ่นตัวของคนธรรมดาทั่วไปให้ตัวเองอีกด้วย "เกรอนุย เขาใคร่จะเป็นพระเจ้าแห่งกลิ่นทั้งมวล" (น. 212)

"...ด้วยว่ามนุษย์เรานั้น แม้จะอาจปิดตาต่อความยิ่งใหญ่
ต่อความน่าอเนจอนาถ ต่อความสวยสดงดงามทั้งหลาย
และอาจปิดหูไม่ยินสรรพเสียงสำเนียงดนตรี
หรือถ้อยคำโลมเล้าเอาใจทั้งปวงได้ก็ตาม
แต่ว่าพวกเขาไม่อาจหลีกลี้หนีกลิ่นไปได้ดอก"
- เกรอนุย (Patrick Süskind, น้ำหอม (Das Parfum), น. 212)

          เกรอนุยแอบหลบหนีจากท่านมาร์กีส์แล้วเดินทางไปเมืองกราสเหมือนดั่งที่ตั้งใจไว้แต่แรกเริ่ม เมื่อมาถึงเขาก็ได้กลิ่นอันพึงปรารถนานั้นอีกครั้ง กลิ่นละม้ายคล้ายคลึงกับเด็กสาวผมแดงที่เขาบีบคอจนตายคนนั้นในปารีส ที่หลังกำแพงของคฤหาสน์หลังหนึ่ง เด็กสาวคนนี้เพิ่งจะเริ่มออกสาวไม่เท่าไร เกรอนุยหมายมั่นจะครอบครองกลิ่นของเธอให้ได้ "กลิ่นของเด็กหญิงหลังกำแพงนี้ เขาจะเก็บถนอมไว้เป็นของตน จะถอดถลกดึงเอาจากเนื้อหนังของเธอมาสร้างเป็นกลิ่นกายของตนเอง" (น. 236) แต่คราวนี้เขาจะไม่รีบร้อนบุ่มบ่ามเหมือนครั้งก่อนจนเสียของดี ๆ ไปอีก ยังก่อน เขายังมีเวลาอีก 2 ปีที่จะเรียนวิธีสกัดเอากลิ่นเพิ่มเติม (ตอนนี้อ่านแล้วขนลุก พี่แกโรคจิตมาก ๆ =*=)

         หลังเข้าทำงานกับมาดามอาร์นูฟี แม่ม่ายเจ้าของโรงงานน้ำหอมเล็ก ๆ เกรอนุยก็ตั้งใจทำงานจนได้รับความวางใจในระดับหนึ่ง เขาค่อย ๆ เรียนรู้วิธีสกัดกลิ่นเพิ่ม และยังปรุงกลิ่นตัวสำหรับตัวเองเพื่อใช้ในการณ์ต่าง ๆ กันเพิ่มอีกด้วย กลิ่นซึ่งมีผลต่อปฏิกิริยาของผู้คน เช่น กลิ่นที่เรียบง่าย ทำให้ไม่เป็นที่สนใจ กลิ่นที่ก่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ หรือกลิ่นเน่าที่ทำให้ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ (ใช้เวลาอยากอยู่คนเดียว) "ด้วยกลิ่นลักษณะต่าง ๆ นี่เองที่เกรอนุยจะเลือกใช้ผลัดเปลี่ยนตามโอกาส ราวกับเปลี่ยนเสื้อผ้าสวมใส่ตามวาระ" (น. 252) เกรอนุยหันกลับไปทดลองสกัดกลิ่นวัตถุไร้ชีวิตอีกครั้ง และคราวนี้เขาทำสำเร็จ เขาสามารถสกัดกลิ่นลูกบิดทองเหลือง ก้อนหิน น้ำ ฯลฯ มาเก็บไว้ได้ แล้วเขาก็เริ่มขยับไปทดลองกับสิ่งมีชีวิต เช่น ลูกแมว หนู ฯลฯ แต่สัตว์พวกนี้ไม่ยอมอยู่นิ่ง ๆ เหมือนอย่างดอกไม้ หรือวัตถุอื่น พวกมันต่างดิ้นรนเอาชีวิตรอดและขับกลิ่นความกลัวออกมา "เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่เป็นผลที่จะปฏิบัติการต่อไป เจ้าสิ่งนั้นตัวนั้นต้องถูกกระทำให้แน่นิ่งโดยทันทีทันควันโดยไม่ทันให้ได้เกิดความรู้สึกหวาดกลัว หรือทำการต่อสู้ขัดขืนได้ เขาต้องฆ่ามันเสียก่อน" (น. 254) และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเป็นฆาตกรเต็มตัวของเกรอนุย

          ศพแรกถูกพบในเดือนพฤษภาคม เด็กสาววัย 15 ปีถูกทุบอย่างแรงที่บริเวณท้ายทอย ฆาตกรนำร่างของเธอไปทิ้งไว้ในไร่กุหลาบในสภาพเปลือย ผมถูกกร้อนออกจนหมด เส้นผมและเสื้อผ้าหายไป ที่น่าแปลกใจคือไม่มีร่องรอยการข่มขืน ชาวเมืองต่างพากันโทษว่าเป็นฝีมือของพวกยิปซี หรือพวกอิตาลีที่เข้ามารับจ้างทำงานไม่ก็พวกต่างถิ่น แต่เมื่อเริ่มมีเหยื่อเป็นเด็กสาวชาวต่างถิ่นเหล่านั้น พวกเขาก็ยิ่งสับสนหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ใครกันที่ทำเรื่องอย่างนี้ มันต้องการอะไร เด็กสาวคนแล้วคนเล่าถูกฆาตกรรมอย่างลึกลับ ล้วนแล้วแต่เป็นดรุณีแรกรุ่นวัย 15 - 16 หน้าตาสะสวยมีเอกลักษณ์และเป็นสาวบริสุทธิ์ ความหวาดผวากลายเป็นความบ้าคลั่ง พวกเขาต้องการจับตัวฆาตกรมาลงโทษ ริชีส์เชื่อมั่นว่าฆาตกรลงมืออย่างมีแบบแผน ผู้ตายทุกคนมีลักษณะต้องตรงกัน เหมือนมันกำลังสะสมผลงานศิลปะ ช่างทำวิกถูกทำร้ายด้วยแรงอาฆาตของชาวเมืองเพราะสงสัยว่าฆาตกรอาจนำเส้นผมของเด็กสาวไปทำวิก เมืองกราสประกาศมาตรการป้องกันเมือง เด็กสาวแรกรุ่นถูกห้ามไม่ให้ออกจากบ้านในยามค่ำคืน บ้างก็ถูกส่งออกไปอยู่ที่เมืองอื่นเพื่อความปลอดภัย เด็กสาว 24 คนถูกฆาตกรรมแต่การหาตัวฆาตกรยังไม่มีความคืบหน้า ชาวเมืองหันไปพึ่งท่านบิชอปให้ทำพิธีสาบแช่งด้วยเชื่อว่าฆาตกรนั้นไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ แต่มีวิญญาณปีศาจเป็นแน่ หลังพิธีสาปแช่งการฆาตกรรมก็หยุดลง และไม่นานก็มีข่าวฆาตกรถูกจับได้ที่เมืองอื่น ชาวเมืองพากันโล่งใจและเฉลิมฉลอง มาตรการป้องกันถูกยกเลิกไป

          มีแต่เพียงริชีส์คนเดียวเท่านั้นที่ไม่เชื่อว่าฆาตกรที่ถูกจับนั่นจะเป็นคนเดียวกับที่ลงมือฆาตกรรมเด็กสาวทั้ง 24 ราย เพราะลักษณะการฆ่าของนักโทษคนนั้นไม่ตรงกับคนที่ลงมือในกราส ริชีส์ทบทวนแบบแผนของฆาตกรในลักษณะเหมือนการสะสมผลงานล้ำค่า มันย่อมมีเป้าหมายสูงสุดในใจ และผลงานชิ้นสุดท้ายย่อมเป็นลอร์ ริชีส์ลูกสาวคนเดียวของเขาเป็นแน่ เขาจึงวางแผนส่งตัวลอร์ไปอยู่ในที่ปลอดภัย และเร่งแต่งงานกับชายหนุ่มที่เขาหมั้นหมายไว้ให้โดยเร็ว เพราะเจ้าฆาตกรพุ่งเป้าไปที่เด็กสาวที่ยังบริสุทธิ์ ยังไม่สมรสเท่านั้น เขาทำทีเดินทางไปยังเมืองหนึ่งแล้วไปเปลี่ยนเส้นทางทีหลัง แต่เพียงแค่เกรอนุยสัมผัสได้ว่ากลิ่นสุดยอดปรารถนาของเขาจางหายไปจากเมือง เขาก็เร่งรีบเดินทางตามไปทันที เขาไม่มีทางยอมให้กลิ่นที่เฝ้าหมายปองมาตลอดหลุดมือไปเด็ดขาด และเขาก็ทำสำเร็จ เขาตามริชีส์ไปจนถึงที่พักแรมระหว่างทาง และลงมือสังหารลอร์ สกัดกลิ่นของเธอแล้วนำมารวมกับอีก 24 กลิ่นที่สะสมไว้

          แต่แล้วเกรอนุยก็ถูกจับกุม เศษผม และเสื้อผ้าของบรรดาเหยื่อทั้ง 24 รายถูกพบในบริเวณที่พักของเขาในบ้านของแม่ม่ายอาร์นูฟี เขาถูกทรมานในการสอบสวน ถึงกระนั้นก็ไม่ยอมบอกเหตุผลของการกระทำอาชญากรรมสยองขวัญนี้ เมื่อถูกถามว่าฆ่าเด็กสาวพวกนั้นทำไม เขาก็ตอบแต่เพียงว่า "กระผมต้องการใช้พวกเธอ" คณะสอบสวนจึงฟันธงว่าเขานั้นวิกลจริต และตัดสินให้ได้รับโทษประหารด้วยการตรึงไม้กางเขน อีกทั้งทุบตีให้กระดูกหักทั้งตัวแล้วปล่อยให้ตาย ทว่าเมื่อเขาปรากฏตัวที่ลานประหารก็เกิดเหตุประหลาดขึ้น ซึ่งต่อมาเป็นเหตุการณ์ที่ชาวเมืองต่างพร้อมใจกันทำเป็นลืมเหมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้นเพราะความน่าอดสูของมัน เกรอนุยนั่งมาในรถม้า และออกมาในสภาพที่ต่างจากนักโทษประหารโดยสิ้นเชิง เขาสวมเสื้อผ้าผ้าไหมสีน้ำเงิน และรองเท้าอย่างดี คนรอบรถม้าพากันคุกเข่า ชาวเมืองคลายความโกรธแค้น ลดเสียงด่าทอสาปแช่งและแปรเปลี่ยนเป็นชื่นชม คลั่งไคล้หลงใหลราวกับเห็นเทพบุตรก็ไม่ปาน เมื่อความชื่นชมบูชาเพิ่มขึ้นไปถึงจุดหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นความกำหนัดปรารถนาอย่างไร้ศีลธรรม ต่างพากันหันเข้าสมสู่ในลานนั้นเอง "หญิงสาวผู้เสงี่ยมหงิมฉีกทึ้งเสื้อผ้าผ่อนเผยทรวงอกเรือนร่าง เร่งเร้าคลุ้มคลั่งอ้าซ่า ชายหนุ่มโผผวาตาลุกมือไม้สั่นเทาเข้าตะโบมสมสู่สนองเสพสมด้วยทีท่าอันมิน่าเป็นไปได้อย่างที่สุด ตาเฒ่ากับสาวรุ่นกระเตาะ กุลีรายวันกับภรรยาท่านเจ้านาย เด็กชายสอนหนุ่มกับนางชี พระเยซูอิตกับหญิงแพศยา มืดหน้าตามัวสุดแต่จะคว้าได้ใคร อากาศอบอับหน่วงหนักด้วยกลิ่นเหงื่อหวานเอียนแห่งความใคร่ ระคนกับเสียงร้องกรีด เสียงฮึดหื่นกระหายและเสียงครางกระเส่าเร่าร้อนของสัตว์มนุษย์ นี่คือขุมนรกอเวจี" (น. 325)

          เกรอนุยกระหยิ่มยิ้มด้วยความยินดีกับภาพที่เห็นด้วยรังเกียจเดียดฉันท์ กับความพยายามนานถึง 2 ปี ในที่สุดเขาผู้ที่ทุกคนรังเกียจก็เป็นเจ้าของ "กลิ่น" ซึ่งรวบรวมมาจากเด็กสาวแรกรุ่นบริสุทธื์ 25 คน ที่ทำให้ทุกคนสยบและบูชาเยี่ยงนี้ แต่ความอิ่มเอมในชัยชนะของเขาก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อจู่ ๆ เขาก็ตระหนักว่าเขาไม่ได้ใยดีในความรักหลงใหลที่เป็นอยู่นี้เลย เขากลับชอบความเกลียดชัง รังเกียจเดียดฉันท์ที่เคยได้รับมาตลอดชีวิตมากกว่า เขาอยากให้คนพวกนี้เกลียดชังเขาตอบ อยากจะแสดงความรู้สึกจริง ๆ ข้างในออกไปสักครั้งว่าเขานั้นรังเกียจ และขยะแขยงคนพวกนี้เพียงใด แล้วเขาก็เห็นริชีส์เดินฝ่าฝูงชนพุ่งลิ่วมาทางเขา อา เกรอนุยเดาว่าเขาคงแค้นแทนลูกสาวมาก จนไม่อาจถูกอำนาจแห่งกลิ่นนั้นครอบงำ ริชีส์คงจะมาฆ่าเขาเสียแน่แล้ว เกรอนุยยืนรอรับความตายอยู่ตรงนั้น ทว่าริชีส์กลับตรงเข้ามาคุกเข่าโอบกอดและร้องขอให้เขาอภัยให้ด้วยน้ำตาอาบหน้า เกรอนุยเป็นลมไปด้วยความอึดอัดคับแค้นใจต่อความไม่สมประสงค์นี้

          เกรอนุยตื่นขึ้นมาบนเตียงของลอร์ ริชีส์ เมอซิเออร์ริชีส์ขอให้เขารับปากรับริชีส์เป็นพ่อบุญธรรม เกรอนุยแสร้งยินยอมและหลบหนีออกมาตอนเช้ามืด ภายหลังเหตุการณ์ในลานประหาร เมื่อมนต์น้ำหอมสร่างลง ชาวเมืองพากันอับอายต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างรวบรวมผ้าผ่อนที่กระจัดกระจายแล้วกลับเข้าบ้านของตัว และพร้อมใจกันไม่พูดถึงและทำเป็นลืมมันไป "หลายต่อหลายคนรู้สึกเป็นประสบการณ์สยองขวัญที่ไม่อาจอธิบายบรรยายได้ และยังขัดต่อความรู้สึกนึกคิดด้านศีลธรรมจรรยาของผู้คนโดยสิ้นเชิง ขัดเสียจนต้องลบล้างสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นออกไปจากความทรงจำ และไม่หวนคิดระลึกนึกถึงอีกเลยในกาลต่อไป" (น. 334) คดีความของเกรอนุยถูกยกเลิก และไม่มีการเอ่ยชื่อของเขาอีก เจ้าหน้าที่ออกตามหาตัวคนร้ายใหม่ และจับได้ในที่สุด ชายผู้เคราะห์ร้ายนั้นคือโดมินิก ดรูโอต์ชู้รักของแม่ม่ายอาร์นูฟี โดยมีหลักฐานเป็นเส้นผมและเสื้อผ้าที่ค้นพบเมื่อคราวก่อน บวกกับคำสารภาพของเขาหลังถูกทรมานนาน 14 ชม. ดรูโอต์ถูกแขวนคอทันทีในรุ่งขึ้น

          หลังจากลักลอบหนีออกมาจากเมืองกราส เกรอนุยก็เดินทางกลับไปปารีส แม้ว่าเขาจะยังมี "น้ำหอม" เหลือไว้ใช้ได้อีกนาน (ที่ลานประหารนั่นใช้แค่หยดเดียวนะจ๊ะ) เขาสามารถใช้มันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจราชศักดิ์ได้มากมาย เว้นแต่เพียงสิ่งเดียวที่ไม่มีทางได้มา นั่นก็คือ กลิ่นกายของเขาเอง เขาจึงไม่ปรารถนาจะใช้น้ำหอมนั้นอีกต่อไป "ต่อให้เขาเป็นพระเจ้าปรากฏต่อสายตาของโลกด้วยน้ำหอมนี้ก็ตามที ในเมื่อเขาไม่อาจได้กลิ่นของตัวเองเช่นนี้แล้ว เขาย่อมไม่มีวันรู้จักตนว่าเขาคือใคร" (น. 342) เกรอนุยตรงไปยังสุสานเดส์อันโนซองตส์ ในยามค่ำคืนเหล่าเด็กจรจัด โจรผู้ร้าย และหญิงแพศยาจะมารวมตัวกันผิงไฟที่นี่ เขาเข้าไปอยู่ท่ามกลางคนผู้นั้นโดยที่ไม่มีใครรู้สึกตัวสักนิด แล้วก็เทราดน้ำหอมทั้งหมดลงบนตัว ไม่ช้าเหล่าคนรอบกองไฟก็พุ่งเข้าหาเขาอย่างหิวกระหาย ต่างก็ปรารถนาจะครอบครองร่างของชายที่งดงามผู้นี้ เมื่อใช้มือและเล็บข่วนดึงทึ้งไม่เป็นผล ต่างก็เริ่มใช้มีดและขวานมาตัด หั่นร่างของเกรอนุยออกเป็น 32 ส่วน แล้วต่างคนก็ต่างแยกกันไป "แทะกิน" ชิ้นส่วนที่ตนได้มาครอง จากนั้นก็กลับมานั่งผิงไฟต่อด้วยความรู้สึกเคอะเขินด้วยผลจากฤทธิ์ของน้ำหอม นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขากินเนื้อมนุษย์ เมื่อสามารถเงยหน้าขึ้นมามองตากันได้พวกเขาก็หัวเราะออกมา "ต่างพากันภาคภูมิใจอย่างเหลือเกินที่ได้กระทำอะไรไปสักอย่างเป็นครั้งแรกด้วยความรัก" (น. 346)

          และนั้นก็คือจุดจบของฆาตกรต่อเนื่องสุดหลอนรายนี้ หากหนังสือสามารถให้กลิ่นได้ นิยายเล่มนี้คงเป็นนิยายหลากกลิ่นมากที่สุดในโลก มีทั้งกลิ่นหอมชื่นจรุงใจ กลิ่นเหม็นเน่าน่าขยะแขยง กลิ่นน่าหลงใหลเสน่หา ฯลฯ บทพรรณนาละเอียดทำให้เห็นภาพ และกลิ่นชัดเจน และจากข้อคิดซึ่งผู้เขียนซึ่งระบุอยู่ในคำนำสำนักพิมพ์ก็ช่วยให้เราเข้าใจประเด็นที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอมากขึ้น "มนุษย์มีความต้องการยอมรับจากสังคมว่าเป็นพวกเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อความอบอุ่นใจและปลอดภัย ดังนั้น พวกเขาจึงพยายามปรุงแต่งตนเองให้เป็นที่น่ารักใคร่หรือไม่ให้แตกต่างไปจากผู้อื่น จนถึงกับละทิ้งตัวตนที่แท้จริง และ เกรอนุย ผู้ตระหนักถึงความคิดเช่นนี้รวมทั้งความสามารถเหนือธรรมชาติของตนเองและความทะเยอทะยานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จึงได้รังสรรค์กลิ่นน้ำหอมอันยอดเยี่ยม เพื่อให้ผู้คนหลงใหล เคลิบเคลิ้ม และบูชาในตัวเขา แต่แล้ว เกรอนุย ก็กลับประจักษ์ว่าสิ่งที่เขาได้รับนั้น มิใช่ความสุขที่เขาปรารถนาและมิใช่ความรื่นรมย์ที่น่าพึงพอใจ ตรงกันข้าม มันเป็นสิ่งที่น่าพะอืดพะอมจนเขาอยากจะหลีกหนีไปให้พ้น เขาหวนกลับไปนึกถึงความฝันเกี่ยวกับหมอกที่ท่วมทับตัวเขาจนอึดอัดและน่าหวาดกลัวซึ่งเป็นหมอกแห่งการไม่รู้จักตนนั่นเอง" (สนพ. ดับเบิ้ลนายน์)

          เคยฝืนทำอะไรที่ไม่ชอบเพื่อให้คนอื่นพอใจไหมคะ?

          มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เรื่องนี้เคยเรียนกันมาตั้งแต่วัยละอ่อน เราต่างต้องการการเป็นที่ยอมรับ และมักจะจัดกลุ่มเพื่อแบ่งแยก รวมพวกที่ต่างกันหรือเหมือนกันอยู่เสมอ นั่นคงเพราะเรากลัวการแตกต่างและไม่ยอมรับมัน และหาที่ที่เราจะอยู่ได้ มีคนที่เข้าใจ

          เกรอนุยเกิดมาในโชคชะตาอาภัพ ในย่านที่โสโครกที่สุดในปารีส (ผู้เขียนบรรยายซะนึกภาพปารีสเป็นสลัมดี ๆ นี่เองแทนที่จะเป็นเมืองหลวงสวยสง่าแบบที่เคยนึกฝันไว้ว่าอยากไปเที่ยว) เกิดมาไม่มีพ่อไม่พอ แม่ยังถูกแขวนคอเพราะจงใจปล่อยให้ลูกตาย แต่ลูกมันดันอึดซะนี่ โตมาก็ป่วยเจียนตายอยู่หลายรอบ แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง สงสัยว่าถ้าตอนจบไม่ถูกฉีกทึ้งร่างไปเสียก่อน พี่แกคงได้รับเชิญไปเล่นหนังเรื่อง Die Hard ภาคใดภาคหนึ่งเป็นแน่ ในขณะที่เกรอนุยรอดตายมาได้ราวปาฏิหาริย์ทุกครั้ง เหล่าคนที่เขาเคยอาศัยพักพิงด้วยกลับตายลง ราวกับการเสียดเย้ยของโชคชะตา แม่ต้องโทษประหารแขวนคอ มาดามจีญารด์สุดท้ายก็ไปลงเอยในเตียงผู้ป่วยอนาถา เมอซิเออร์กรีมาลก็เมาตกน้ำตาย บาลดินีก็เสียชีวิตในเหตุการณ์บ้านถล่ม ท่านมาร์กีส์ก็หายตัวไปบนเขา ดรูโอต์ก็ต้องโทษประหารด้วยข้อหาที่เขาไม่ได้ก่อ

          แม่นมที่รับเลี้ยงตอนแรกเกิดก็รังเกียจเพราะเด็กกินจุ และไม่มีกลิ่นอย่างที่เด็กควรจะมี "กลิ่นเหมือนคาราเมล" หรือ "กลิ่นดี" อย่างที่แม่นมว่า นั่นคือจุดแตกต่างสำคัญของเกรอนุยกับคนปกติทั่วไปที่ทำให้เขาแปลกแยกจากสังคม และเป็นข้อน่ารังเกียจที่ถูกตั้งป้อมเสียแต่แบเบาะ นอกจากนี้การไร้ซึ่งกลิ่นตัวใด ๆ โดยสิ้นเชิงยังทำให้เขา "ไร้ตัวตน" ในสายตาคนอื่น เพราะไม่มีอะไรน่าจดจำ ทั้งหน้าตาหรือก็น่าจะเรียกว่าขี้เหร่ หรืออัปลักษณ์ได้เลย ภายในบ้านเด็กกำพร้าของมาดามจีญารด์ เกรอนุยก็ถูกเด็กคนอื่น ๆ ตั้งแง่รังเกียจ จนถึงกับเกือบจะถูกฆ่าตาย แต่ก็นั่นแหละอิตานี่มัน Die Hard ไง รอดมาได้อีกตามเคย

          ผู้เขียนเปิดตัวเกรอนุยในสภาพน่าสังเวชและน่าเห็นใจเช่นนี้ อ่านแรก ๆ ก็ให้เวทนาพ่อเจ้าประคุณอยู่หรอก แต่ภายใต้ความนิ่งเฉย เรียบง่ายนั้น เราไม่รู้เลยว่าลึก ๆ มันมีคลื่นของความทะเยอะทะยานอยู่ เกรอนุยไม่ได้โง่เง่าแต่อย่างใด เขาเป็นคนฉลาด เขารู้จักวางตัวให้เป็นที่ไว้ใจ ดูอย่างตอนแรกเจอกับเมอซิเออร์กรีมาลนั่นสิ เพียงดมกลิ่นรับรู้ได้ว่าคน ๆ นี้โหดร้ายทารุณเพียงใด และชอบคนประเภทไหน เกรอนุยก็วางตัวจนเป็นที่ไว้ใจและอาจพอจะเรียกได้ว่าเป็นคนโปรด หรืออย่างตอนไปอยู่กับแม่ม่ายอาร์นูฟี และดรูโอต์ เขาก็รู้จักวางตัวให้ดรูโอต์นั้นรู้สึกว่าตนเหนือกว่า และเกรอนุยจะขาดเขาไปเสียมิได้ นั่นก็เพื่อให้เขาสามารถอยู่เรียนรู้งาน และทำตามแผนได้อย่างราบรื่น เขารู้จักกอบโกยความรู้จากผู้อื่น ตรงกันข้ามกับที่เหล่าผู้ที่เชื่อว่าตนฉลาดและเหนือกว่าเกรอนุยอย่างบาลดินี หรือดรูโอต์ที่ยึดเอาผลงานของเขาเป็นของตนอย่างไม่ละอายแก่ใจ

          น่าเสียดายที่เกรอนุยนำความสามารถเหนือธรรมชาติที่ติดตัวมาไปใช้ในทางที่ผิด หากเขาเรียนรู้ที่จะปรุงน้ำหอม และเป็นพาร์ฟูมเมอร์ที่ดี เขาก็คงจะยกฐานะและอยู่สุขสบายไปชั่วชีวิต หากแต่สำหรับเขา ชื่อเสียง เงินทอง ยศศักดิ์ไม่ใช่สุดยอดปรารถนา มีเพียงแต่ "กลิ่น" เท่านั้นที่จะเติมเต็มความต้องการของเขาได้ กลิ่นซึ่งเขาไม่มีเป็นของตัวเอง กลิ่นเหมือนอย่างที่คนอื่น ๆ มี หากเขามีกลิ่นก็จะเป็นที่ยอมรับ เป็นที่ชื่นชมนิยมในหมู่ผู้คน กว่าเขาจะรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องจอมปลอมมันก็สายเสียแล้ว ถึงเขาจะสร้างกลิ่นได้เลิศเลอปานใด ก็ไม่มีกลิ่นใดที่เป็นของเขาโดยแท้ เพราะเขาเกิดมาไร้กลิ่นตั้งแต่ต้น หัวใจของเขาถูกทำลายด้วยความเชื่อมั่นและความทะเยอทะยานของตัวเอง

          ฉากมั่ว sex ในลานประหารนั่นก็เป็นฉากที่ดีอีกฉากในนิยายเรื่องนี้ มันน่าจะสะท้อนอะไรได้หลายอย่าง เรามองว่าด้วยฉากหน้าของการทำตนมีศีลธรรม เบื้องลึกแล้วคนเราก็มีด้านมืดและสามารถกระทำเรื่องอันน่าอดสูแบบนี้ได้เมื่อความหลงใหลหน้ามืดเข้าครอบงำจนไร้สติ หลังจากนั้นก็จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและใช้ชีวิตต่อไปตามปกติ ปล่อยให้เหตุการณ์ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา กลิ่นน้ำหอมคงเป็นตัวแทนของสิ่งล่อลวง เช่น ความสวยงาม ความเพลิดเพลิน ความหลงระเริง ความรัก ฯลฯ ที่จะนำเราไปสู่หนทางอันขัดศีลธรรมได้ไม่ยากหากมีมากเกินไป และคงด้วยความเอียนต่อผู้คน ต่อโลก เลยทำให้ผู้เขียนเปรียบเทียบเหตุการณ์ ณ ลานประหารนั้นว่าเป็นนรกอเวจี ซึ่งคิดว่าลานประหารคงสื่อถึงโลก ถึงสังคมมนุษย์ที่ต่างปรุงแต่งตัวเองเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในสังคมจนไม่เป็นตัวของตัวเองว่าที่แท้เราก็อยู่ท่ามกลางนรกดี ๆ นี่เอง

          ถึงจะเอาเรื่องมาสปอยล์กันขนาดนี้ แต่ถ้ามีโอกาสหาหนังสือมาอ่านได้ ก็อยากให้ลองอ่านกันดูเอง สำนวนภาษาที่ใช้นั้นดีจริง ๆ ศัพท์เกี่ยวกับกลิ่นมีเยอะมาก แม้จะมีที่พิมพ์ผิดอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากจนถึงกับเสียอารมณ์ เสียอรรถรส บางทีคุณอาจจะชอบ "น้ำหอม" กลิ่นนี้

Comments

  1. เขียนได้ดีมากๆเลยค่ะ

    ReplyDelete
  2. ขอบคุณมากนะคะ เล่าได้ชัดเจนมากค่ะอ่านซ้ำสองรอบแล้ว ทำให้ซาบซึ้งในเรื่องนี้มากขึ้นอีกค่ะ

    ReplyDelete
  3. หลายสิ่งที่หนังเล่าออกมา นิยายอธิบายไว้หมดจด แถมหนังต้องทำการเกลา และ ดัดแปลงบทใหม่อีกชั้นนึงเพราะอย่างไรเสีย หนังมันมีเวลาฉายจำกัด

    ReplyDelete

Post a Comment

Popular posts from this blog

[Spoiler Alert] เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince) สปอยล์แหลกตามคำขอของน้อง

เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince) หนังสือดีๆ อีกเล่มที่อยากแนะนำให้อ่าน

ลำนำรักเทพสวรรค์ ภาค หนึ่งคำมั่น สัญญานิรันดร์ (Promise Me a Forever)