ไม่มีใครนำหน้าบนม้าหมุน (Dead Heat on a Merry-Go-Round)



บทเกริ่นเรื่องที่ดูแสนจะธรรมดา ประหนึ่งผู้เขียนกำลังบอกเล่าอย่างสบายๆ ว่าเรื่องที่จะเล่าในเล่มนี้นั้นมาจากเรื่องจริงของผู้คนรอบกายที่แวะเวียนเข้ามาเล่าสู่กันฟัง ด้วยความที่เขานั้นจัดได้ว่าเป็นผู้ฟังที่ตั้งอกตั้งใจรับฟังผู้อื่น แต่ความมาปรากฏเอาภายหลัง ว่าที่แท้นั้นผู้อ่านติดกับเฮียมูเข้าให้อย่างจัง
เมื่อแกออกมาสารภาพว่า เรื่องสั้นทั้งหมดในเล่มนี้ เป็นเรื่องแต่ง!
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: 
https://www.facebook.com/readery/photos/a.440123146095283.1073741828.134310463343221/526608110780119/?type=1&theater )


ชื่อเรื่อง: ไม่มีใครนำหน้าบนม้าหมุน (Dead Heat on a Merry-Go-Round)
ผู้เขียน: ฮารูกิ มูราคามิ
แปลโดย: มุทิตา พานิช, ปิยะณัฐ จีระกูรวิวัฒน์, กนกวรรณ เกตุชัยมาศ, พีรวัธน์ เสาวคนธ์, 
พรรษา หลำอุบล, ปาลิดา พิมพะกร
จัดพิมพ์โดย: สนพ. กำมะหยี่ (พิมพ์ครั้งที่ 1, ธันวาคม 2556)

ในรวมเรื่องย่อยเล่มนี้ มีเรื่องสั้น/เรื่องย่อยทั้งหมด 8 เรื่อง ซึ่งตามที่เกริ่นด้านบนว่าตอนแรกเฮียมูแกบอกว่า เรื่องราวทั้งหมดใน "ไม่มีใครนำบนม้าหมุน" เล่มนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องจริงที่ได้รับฟังมา แล้วเอามาเขียน หรือที่แกใช้คำว่า "สเก๊ตช์" ออกมาเป็นเรื่องเล่าให้เราได้อ่าน แต่ที่ไหนได้ แกมาเฉลยเอาในอีกหลายปีให้หลังว่าเรื่องทั้งหมดที่ว่าจริง จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่แกแต่งขึ้นมา ก็แล้วจะเอายังไงคะเฮีย =..=! (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก link ด้านบนได้ค่ะ เพจนั้นเขาหาข้อมูลมาให้ดีทีเดียว)

อ่านเล่มนี้แล้ว อยากตั้งชื่อเล่นให้ผลงานเล่มนี้ของเฮียมูว่า ตัวตนที่ซ่อนอยู่ ไม่ก็ความดำมืดในจิตใจ 55 เรื่องราวในแต่ละตอนมักจะเกี่ยวพันกับการค้นพบบางอย่างของตัวละครในเรื่อง อาจจะค้นพบความรู้สึกบางอย่างลึกๆ ในใจ ไม่ก็ค้นพบตัวตนที่ซ่อนอยู่ หรือถูกกดทับไว้ด้วยอะไรบางอย่างที่ "ธรรมดาสามัญ" สิ่งธรรมดาสามัญที่เราพบเจอในชีวิตทุกวัน จนไม่ทันสังเกต จนไม่ทันใส่ใจ กลายเป็นกรอบ เป็นความจำเจที่กีดกันเราออกจากตัวตน ออกจากอิสระในการตัดสินใจ ละเลยความต้องการ ความรู้สึกที่แท้จริง เหมือนถูกขังติดอยู่ในกรอบที่ตัวเองสร้างขึ้น แต่ถึงจะดูธรรมดาสามัญ แต่ตัวละครแต่ละตัวต่างก็มีชีวิตอีกด้านที่ซ่อนอยู่...

มูราคามิพาเราเข้าไปในโลกของคน 8 คน ในรวมเรื่องย่อยทั้ง 8 เรื่องใน "ไม่มีใครนำหน้าบนม้าหมุน" เล่มนี้ เรื่องราวหลากหลาย ของคนหลากหลาย ที่ดูธรรมดาสามัญ แต่มีความแปลกประหลาดซ่อนอยู่ สิ่งหนึ่งที่ยังคงมีสเน่ห์คือความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาของตัวละคร ซึ่งดูจะเน้นไปที่ตัวตน ความลับดำมืดในจิตใจ ชีวิตในอีกด้านที่ไม่ธรรมดาของคนที่ชีวิตดูเหมือนจะแสนเรียบง่ายธรรมดา สำบัดสำนวนกินใจ ผู้แปลแปลได้ดี อ่านแล้วไม่มีติดขัด

อ่านแต่ละตอนจบ เขียนร่างบล็อกความเห็นของตัวเองไว้ แล้วก็ไปอ่านคำตามของแต่ละท่านท้ายตอนแล้ว บร๊ะ! เขาคิดกันได้ไงอ่ะ ไอ้เราไม่เคยจะคิดตีความอะไรลึกซึ้งแบบนั้นได้เลย ปกติอ่านเอาความบันเทิงอย่างเดียว บางจุดที่เขาเขียนมา ไอ้เรานี่ไม่แม้แต่จะฉุกคิดเลยว่ามันเป็นพอยท์ของเรื่อง (_ _")

- กางเกงหนังเลเดอร์โฮเซน
เมื่อภรรยาต้องเดินทางไปท่องเที่ยวเพียงลำพังในต่างแดนไกลถึงประเทศเยอรมนี เธอค้นพบบางอย่างระหว่างการเดินทางนั้น ในระหว่างรอซื้อกางเกงหนังเลเดอร์โฮเซนให้สามี ... เมื่อกลับมาญี่ปุ่นเธอตัดสินใจไม่กลับบ้าน และตัดสินใจหย่าขาดกับสามีในที่สุด ท่ามกลางความงงงวยของสามี และลูกสาว อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เธอตัดสินใจอย่างนั้น เหตุผลมาปรากฏในหลายปีให้หลัง เมื่อลูกสาวพบเธออีกครั้ง สาเหตุมาจากกางเกงหนังเลเดอร์โฮเซนตัวนั้นแค่ตัวเดียว?!

"แล้วถ้าหากว่า--สมมติว่า ลองลบเอาเรื่องกางเกงขาสั้นนั่นออกไปจากเรื่องเมื่อกี้ 
กลายเป็นเรื่องที่ว่าผู้หญิงคนหนึ่งเดินทางเพียงลำพังจนรู้จักยืนหยัดด้วยตนเองขึ้นมา 
คุณยังจะยกโทษให่แม่ที่ทิ้งคุณไปได้หรือเปล่า?" 
- ฮารูกิ มูราคามิ (ไม่มีใครนำหน้าบนม้าหมุน, น. 27)

คนเราพอถึงจุดนึง เมื่ออยู่ได้ด้วยตัวเอง ตระหนักรู้ในคุณค่าตัวเอง มองย้อนไปเห็นสิ่งที่ตัวมองข้ามก็จะไม่มีวันย้อนกลับ หรือทนกับอะไรที่เคยทน เคยรอได้อีกแล้ว เหมือนเวลาอกหัก ในตอนแรกก็ฟูมฟายจะเป็นจะตาย เมื่อผ่านไปสักพัก ฟื้นฟูแรงกายแรงใจได้แล้ว ไอ้อาการฟูมฟายที่ว่าก็ดูจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เป็นเรื่องตลกอนาถใจไปเสียได้

สิ่งที่นำมายึดถือ ก็มีส่วนต่อการกำหนดมุมมอง หรือแก่นของเรื่องต่างกัน ทำให้มองเรื่องราวแตกต่างออกไป ดังข้อความข้างต้นที่ยกมาจากหน้า 27 ลูกสาวยอมให้อภัยการกระทำของแม่ ด้วยเพราะยอมรับในคำอธิบายเรื่องกางเกงหนังเลเดอร์โฮเซน แต่เมื่อผู้เขียนถามว่าถ้าเป็นเหตุผลอีกอย่างเธอจะรับได้ไหม เธอกลับตอบว่า "ไม่ได้อย่างแน่นอน" ถ้าเป็นแบบนี้ฉันรับได้ เป็นอีกแบบฉันรับไม่ได้ นั่นเพราะลูกสาวเลือกยอมรับอะไรได้แค่ด้านเดียวหรือเปล่า มองว่าทุกอย่างจะต้องมีเหตุและผลได้เพียงแค่หนึ่งเดียว แสดงถึงความคับแคบในใจ หรือมุมมองความคิดที่ยึดมั่นถือมั่นเกินไปหรือเปล่า แต่นั่นอาจเป็นเพราะความเจ็บปวดจากการถูกทอดทิ้ง ซึ่งเกินกว่าจะยอมรับได้ว่าแม่จะทิ้งตัวและพ่อไป เพียงแค่เพราะแม่ค้นพบว่าตัวเองสามารถอยู่ได้โดยลำพัง...

- ชายผู้ขึ้นแท็กซี่
คนเราให้คุณค่ากับบางสิ่งไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งนั้นส่งผล หรือกระทบใจเราแค่ไหน ภาพเขียนของจิตรกรที่ฝีมือยังไม่ถึงขั้น ไม่ดีแต่ก็ไม่เลว กลับเตะตาถูกใจเธอจนซื้อมาเก็บไว้ นั่นเพราะเธอรู้สึกร่วมไปกับชายในภาพ ภาพๆ นั้นทำให้เธอมองเห็นเงาสะท้อนของตัวเธอเอง ชีวิตธรรมดาสามัญ ติดอยู่ในสถานที่ธรรมดาสามัญ 

"ความที่ฉันใช้เวลานานเหลือเกินในการมองชายผู้ขึ้นแท็กซี่คนนั้น เขาจึงกลายเป็นเสมือนตัวฉันในอีกภาคหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เขาเข้าใจความรู้สึกของฉัน และฉันก็เข้าใจความรู้สึกเขา ฉันเข้าใจความโศกเศร้าของเขา เขาถูกขังอยู่ในแท็กซี่ที่มีชื่อว่าธรรมดาสามัญโดยไม่อาจออกจากที่นั่นได้ ตลอดกาล ตลอดกาลจริงๆ นะคะ ความธรรมดาสามัญให้กำเนิดเขาขึ้นมา และกักขังเขาเอาไว้ในกรงแห่งทิวทัศน์ที่แสนธรรมดาสามัญ คุณไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าหรือคะ?"
- ฮารูกิ มูราคามิ (ไม่มีใครนำหน้าบนม้าหมุน, น. 43)


- ริมสระ
บ่อยครั้งที่เคยตั้งใจว่าจะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลง หรือปรับปรุงตัวเอง ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะทำในแต่ละปีช่วงปีใหม่ แต่สุดท้ายแล้วก็ล้มเหลวไปแทบจะทุกครั้ง ด้วยเพราะขาดความตั้งใจจริงล่ะมั้ง ชายหนุ่มในเรื่องนี้มีความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจในชนิดที่ทำให้รู้สึกอิจฉา ปนละอายใจ เห็นทีจะต้องตั้งเป้าให้ตัวเองได้กลับตัวบ้างเสียแล้ว

แต่ถึงจะมีชีวิตที่ดูสงบดี การงาน ชีวิตครอบครัว การเงิน ทุกอย่างราบรื่น แต่ก็คงขาด 'บางสิ่งบางอย่าง' ไปหรือเปล่า ชายคนนี้จึงหลั่งน้ำตาโดยไม่มีสาเหตุ การคบชู้แสดงถึงความต้องการความแปลกใหม่ ความตื่นเต้นในชีวิตธรรมดาสามัญที่ดำเนินไปหรือเปล่า? น้ำตาที่หลั่งออกมา หลั่งออกมาเพราะอะไร เพื่อใคร

- แด่เจ้าหญิงผู้สิ้นสูญ
"เป็นธรรมดาของหญิงสาวสวยที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม ถูกตามใจจนกู่ไม่กลับ
ที่จะเก่งกาจอัจฉริยะในเรื่องทำร้ายความรู้สึกผู้อื่น" 
- ฮารูกิ มูราคามิ  (ไม่มีใครนำหน้าบนม้าหมุน, น. 75)

อ่านเรื่องนี้จบแล้วสิ่งที่จำได้แม่นมีแค่ ปทุมถันอ่อนนุ่ม กับองคชาติที่แข็งตัว =*= 
ไปๆ มาๆ ก็นึกถึงลำยอง #ทองเนื้อเก้า นะ นางก็สวย และโดนเลี้ยงดูเชิดชูประคบประหงมตามใจจนเสียนิสัย เห็นผิดเป็นชอบ คำนึงถึงแต่ความสวยงามของตัว ความสุขสบายของตัว ไม่คิดถึงใจของผู้อื่น 

หญิงสาวในเรื่องแม้ไม่ร้ายกาจเท่าลำยอง (มั้ง) แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่มีความรู้ความสามารถจริงติดตัว และยังมีชีวิตที่นับว่าดี เมื่อไม่เคยพบเจอความเจ็บปวด ผิดหวัง ย่อมไม่อาจเข้าถึง หรือเข้าใจความเจ็บปวดของผู้อื่น จึงยิ่งทำร้ายคนอื่นได้ง่ายดาย เมื่อประสบกับความสูญเสีย เธอก็คงเริ่มจะพอเข้าใจ 'ความเจ็บปวด' ขึ้นมาบ้างกระมัง 

- อาเจียน
ไม่แนะนำให้อ่านเรื่องนี้ตอนอิ่ม/หรือเพิ่งกินอะไรมาใหม่ๆ นะ บรรยายอาหารที่อาเจียนออกมาซะชัดเชียว 55

อาการประหลาด + โทรศัพท์ประหลาด เกิดขึ้นติดต่อกันทุกวันเป็นเวลาสี่สิบวัน หากเป็นคนปกติทั่วไปคงสติแตกไปเสียตั้งแต่วันแรกๆ แล้วมั้ง อาเจียนไปอาเจียนมา อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตอยู่ด้วยตัวคนเดียว ที่ผ่านมาก็มีอะไรกับแฟน หรือภรรยาของเพื่อนโดยไม่รู้สึกผิดชอบชั่วดี (หรือจริงๆ การอาเจียน กับโทรศัพท์สายประหลาดนั่นจะเป็นความรู้สึกผิดที่อยู่ข้างในลึกๆ ของชายหนุ่ม?) 

"คุณรู้หรือเปล่าว่าผมเป็นใคร" เป็นประโยคปริศนาที่อ่านแล้วดึงดูดใจอย่างประหลาด นั่นน่ะสิ นายเป็นใคร? แล้วลองย้อนถาม "ตัวเอง"ด้วยคำถามเดียวกัน "เรารู้หรือเปล่าว่าจริงๆ เราเป็นใคร? กำลังทำอะไรอยู่" เราเคยฟัง และจำเสียงของ "ตัวเอง" ได้ไหม

- มีดเดินป่า
เป็นตอนที่ดูไม่มีอะไรต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน คู่แม่ลูกเงียบประหลาด หญิงฝรั่งร่างท้วม เฮียมู มาพบเจอกันโดยบังเอิญ ในสถานการณ์ที่สุดแสนจะธรรมดา แต่ก็ดูไม่ค่อยธรรมดา ชายพิการบนรถเข็นจะต้องการมีดเดินป่าไปทำไม...

- หลบฝน
เมื่อต้องตกงาน และมีเวลาว่างในช่วงพักมากอย่างที่ไม่เคยมี ในช่วงแรกก็ดูแฮปปี้อยู่หรอก แต่นานไปคงเป็นธรรมดาที่จะรู้สึกจืดชืดเดียวดายเปลี่ยวเหงา จากที่เคยวุ่นวายวิ่งวุ่นไม่มีเวลา กลับกลายเป็นมีเหลือเฟือ อดีตชู้รักที่ตัดขาดไป สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นแรงผลักดันให้เธอออกไปดื่ม และหลุดปากครั้งแรกไปว่า 'เจ็ดหมื่นเยน' เมื่อมีครั้งแรก ย่อมมีครั้งที่สองตามมา ไม่ได้ขัดสน ไม่ได้มีเจตนาจะทำอย่างนั้น หากแต่ทำไปเพื่อ 'ฆ่าเวลา' เหมือนการเข้าไปนั่งดื่มหลบฝนหรือเปล่านะ

- สนามเบสบอล
"...หลังจากที่เธอเดินออกไป ก็ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ราวกับเธอได้นำข้าวของทั้งสิ้นทั้งปวงที่จำเป็นต่อโลกนี้ติดตัวไปด้วย ผมรู้สึกกลวงเปล่า ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยรู้สึกกลวงเปล่าขนาดนี้มาก่อน ราวกับมีแรงดึงเหวี่ยงคว้าทึ้งฉีกขาดกลางจิตใจ ท้องไส้ก็ปั่นป่วนจนคิดอะไรไม่ออก ผมรู้สึกโดดเดี่ยวราวกับแต่ละวินาที...วินาที...
ได้ถูกซัดไปยังดินแดนที่น่าสมเพชหนักหนายิ่งกว่าเก่า
แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็รู้สึกเบาสบายจากส่วนลึกของหัวใจ ในที่สุด ผมก็ได้รับการปลดปล่อย 
การที่ไม่มีเธออยู่อีกแล้วช่วยฉุดดึงผมขึ้นจากบ่อโคลนตมที่ผมไม่อาจทำได้ด้วยกำลังตนเอง..." 
- ฮารูกิ มูราคามิ (ไม่มีใครนำหน้าบนม้าหมุน, น. 178)

การแอบเฝ้าดูหญิงสาวที่ชายคนนี้หลงใหล เราคงตัดสินตัวเขาในทันทีว่าเป็นพวกโรคจิต พวกถ้ำมอง และรู้สึกสยองแทนหญิงสาวคนนั้นที่ถูกเฝ้าติดตามโดยไม่รู้ตัว ในชีวิตจริงหากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเราคงน่ากลัวไม่น้อย

และถึงแม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเขาทำนั้นไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่อาจทนฝืนสู้ต่ออำนาจมืดของความต้องการในจิตใจตัวเองให้เลิกทำได้ หรือจริงๆ แล้ว เขาพยายามไม่มากพอกันแน่?

การหลงใหลหมกมุ่นในคน หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็คงเหมือนติดอยู่ในกับดักที่เราวางไว้ดักตัวเอง หากไม่สามารถถอนตัวหลุดพ้นจากบ่วงนั้นได้ด้วยกำลังของตัวเอง ก็คงต้องทนทรมานไปจนกว่าบ่วง หรือกับดักนั้นจะหลุดออกไป 

อีกอย่างที่คิด แต่ดูไม่ค่อยจะเกี่ยวกับเรื่องนี้สักเท่าไร คือบางคนเมื่อได้มองอยู่ไกลๆ อาจดูดีงาม น่าหลงใหล แต่เมื่อได้ชิดใกล้ ได้เห็นตัวตนคนๆ เข้าจริงๆ เป็นไปได้ว่าความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีอาจเลือนหายไปได้อย่างง่ายดายราวกับไม่เคยมีมาก่อน


Comments

Popular posts from this blog

[Spoiler Alert] เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince) สปอยล์แหลกตามคำขอของน้อง

เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince) หนังสือดีๆ อีกเล่มที่อยากแนะนำให้อ่าน

ลำนำรักเทพสวรรค์ ภาค หนึ่งคำมั่น สัญญานิรันดร์ (Promise Me a Forever)