[Spoiler Alert] เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince) สปอยล์แหลกตามคำขอของน้อง

"เราเสี่ยงต่อการร้องไห้เมื่อเราปล่อยตัวให้สร้างความสัมพันธ์ขึ้นมา"
- อองตวน เดอ แซงเตก-ซูปรี, เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince)



"เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince)"
ผู้เขียน: อองตวน เดอ แซงเตก-ซูเปรี (เรื่องและภาพประกอบ)
ผู้แปล: อำพรรณ โอตระกูล
สนพ. บริษัทเรือนปัญญา 2010 จำกัด
พิมพ์ครั้งที่ 26 (ฉบับครบรอบ 60 ปี)

          บล็อกนี้เขียนขึ้นตามคำเรียกร้องของน้องคนหนึ่ง นางขอให้เขียนให้อ่านแบบสปอยล์เต็มที่ อันตัวเรานี้ทั้งสวยและใจดีจึงทำเพื่อน้องสักครั้ง #ความสวยให้ห้ามั่นหน้าให้สิบ เพราะฉะนั้นหากท่านหลงเข้ามาอ่านบล็อกนี้โดยบังเอิญ และไม่อยากถูกสปอยล์ล่ะก็ ขอให้หยุดอ่านแต่เพียงตรงนี้นะคะ จากนี้ไปคือเล่าเรื่องจนถึงตอนจบเลยค่ะ

          เรื่องเล่าโดยใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 ขอใช้คำเรียกแทนคนเล่าว่าผู้เขียนละกันนะ ผู้เขียนตัดสินใจเรียบเรียง และเริ่มวาดรูปใหม่อีกครั้งเพื่อบันทึกเรื่องราวเมื่อครั้งที่เขาเคยเจอเจ้าชายน้อยเมื่อ 6 ปีก่อน เพราะเขาอยากจะจดจำเพื่อนคนสำคัญคนนี้ไว้ "เป็นเรื่องน่าสลดใจมาก ถ้าเราลืมเพื่อน ทุกคนไม่ได้มีเพื่อนเสมอไป ถ้าฉันลืมเขา ฉันก็อาจกลายเป็นพวกผู้ใหญ่ที่ไม่สนใจอะไรนอกจากตัวเลขก็ได้ (หน้า 29)" โดยเริ่มปูเรื่องย้อนกลับไปเมื่อเขาอายุ 6 ขวบ ตอนนั้นเขาอยากเป็นจิตรกร แต่เมื่อเขาวาดรูปงูเหลือมกำลังนอนย่อยช้างที่มันกลืนเข้าไป กลับไม่มีใครมองออก ทุกคนต่างบอกว่ามันคือ "หมวก"

งูเหลือมกำลังนอนย่อยช้างที่มันกลืนเข้าไป
เขาจึงวาดรูปขึ้นมาใหม่อีกรูป คราวนี้วาดให้เห็นข้างในท้องของงูแทน แต่พวกผู้ใหญ่ล้วนแต่บอกให้เขาไปหาอะไรทำที่มีประโยชน์มากกว่านี้ เขาเลยเกิดอาการเซ็ง ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเป็นจิตรกรไป สุดท้ายหันไปเป็นนักบินแทน และการเป็นนักบินนี้เองที่ทำให้เขาได้พบกับเจ้าชายน้อย

ภาพด้านนอกและด้านในท้องงูเหลือมที่กำลังนอนย่อยช้างที่มันกลืนเข้าไป
         วันหนึ่งเครื่องบินของผู้เขียนเกิดไปเสียอยู่กลางทะเลทรายซาฮารา ในเช้าวันที่สองที่ติดอยู่ที่นั่นจู่ๆ ก็มีเสียงเล็กๆ ขอให้เขาช่วยวาดรูปแกะให้ เจ้าของเสียงคือเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่งตัวดูดีทีเดียว เด็กชายยืนยันคำขอให้เขาช่วยวาดแกะให้ ผู้เขียนวาดให้เขาหลายรูป เด็กชายก็ยังไม่ถูกใจ สุดท้ายเขาเริ่มหงุดหงิดเลยวาดรูปกล่องสี่เหลี่ยมมีช่องให้เด็กชายไปส่งๆ ปรากฏว่าเด็กชายกลับถูกใจและบอกว่านี่คือแกะแบบที่เขาอยากได้ และนั่นคือการพบกันครั้งแรกของผู้เขียนกับ "เจ้าชายน้อย"

          การคุยกับเจ้าชายน้อยนั้นไม่ง่ายเลย เพราะเจ้าชายน้อยมักจะเพิกเฉยต่อคำถาม และมักจะเป็นฝ่ายถามเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ กว่าจะรู้ที่มาที่ไปของเจ้าชายน้อยก็ต้องใช้เวลาอยู่นานในการจับความจากบทสนทนาระหว่างกัน เขาเริ่มเดาได้ว่าเจ้าชายน้อยเดินทางมาจากดาวดวงอื่นขณะคุยกันเรื่องที่เครื่องบินของผู้เขียนตก (เจ้าชายน้อยคิดว่าผู้เขียนเองก็ตกลงมาจากดาวดวงอื่น) เมื่อเจ้าชายน้อยชมรูปแกะที่เขาวาดว่าดีจริงที่เขาวาดกล่องให้ด้วย แกะของเขาจะได้มีบ้านอยู่ ผู้เขียนเสนอว่าเดี๋ยวเขาวาดเชือกผูกแกะให้ด้วยก็ได้นะ จะได้เอาไว้ล่ามแกะไม่ให้เดินเพ่นพ่าน เจ้าชายน้อยก็ขำ จะต้องใช้เชือกไปทำไม ดวงดาวของเขานั้นเล็กนิดเดียว แกะเดินไปไหนไม่ได้ไกลนักหรอก นี่คือตัวอย่างบทสนทนาที่ผู้เขียนต้องค่อยๆ จับรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเจ้าชายน้อยเอาเอง

         เจ้าชายน้อยมาจากดาวดวงเล็กๆ ที่ชื่อ บี612 ในตอนที่มีนักดาราศาสตร์คนหนึ่งออกมาประกาศการค้นพบดาวดวงนี้ต่อสภานักดาราศาสตร์ ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เขาพูดสักคน นั่นก็เพราะ "เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย" ของเขามันแปลกเกินไป ผู้ใหญ่ก็เป็นแบบนี้แหละ ตัดสินความน่าเชื่อถือซึ่งกันเพียงแค่การแต่งกายแค่นั้น แต่ต่อมาเมื่อประเทศบ้านเกิดของนักดาราศาสตร์ผู้นั้นบังคับให้ประชาชนสวมใส่เสื้อผ้าตามแบบยุโรป (ใครไม่ทำตามก็มีโทษถึงประหารชีวิต) เมื่อเขาปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายและออกมาประกาศการค้นพบดาวบี612อีกครั้ง คราวนี้ทุกคนเชื่อข้อมูลที่เขาพูด...

          เจ้าชายน้อยคอยดูแลดาวของเขาเป็นอย่างดี เขาคอยถอนต้นไทรที่งอกขึ้นมาทิ้ง เพราะหากปล่อยทิ้งไว้รากของมันอาจทำลายดาวทั้งดวงได้ เจ้าชายน้อยขอให้ผู้เขียนวาดรูปต้นไทรเพื่อใช้เป็นเครื่องเตือนใจเด็กๆ ให้ระวังต้นไทรให้ดี"บางครั้งการผัดวันประกันพรุ่งงานของตนนั้นไม่เป็นการเสียหายแต่อย่างใด แต่ถ้าเป็นเรื่องเจ้าต้นไทรละก็เป็นเรื่องมหันตภัยทีเดียว...(หน้า 36)" บนดาวบี612 ยังมีภูเขาไฟเล็กๆ อีก 3 ลูก 1 ในนั้นเป็นภูเขาไฟที่ดับไปแล้ว แต่เขาก็คอยขัดปากปล่องภูเขาไฟทั้งสามอยู่เสมอ เพราะแบบนี้ภูเขาไฟจึงไม่เคยระเบิดขึ้นมาแล้วทำลายดวงดาวทั้งดวง เจ้าชายน้อยชอบดูพระอาทิตย์ตกดิน เขาได้ดูพระอาทิตย์ตกทั้งหมด 43 ครั้งบนดาวบี612 "เธอรู้ไหม...ในยามแสนเศร้า คนเราชอบดูอาทิตย์อัสดง? (หน้า 38)"

          เข้าสู่วันที่ 5 ที่ติดกันอยู่ในทะเลทราย เจ้าชายน้อยยังคงกังวลเรื่องแกะ เขาสงสัยว่าในเมื่อแกะชอบกินพวกผักหนาม แล้วมันจะกินดอกไม้ด้วยไหม เขาเฝ้าถามเรื่องนี้ และสงสัยเรื่องหนามของดอกไม้ไม่หยุด ถ้าดอกไม้มีหนาม แล้วแกะยังกินได้ แล้วดอกไม้จะมีหนามไปทำไมล่ะ? ผู้เขียนเริ่มหงุดหงิด เพราะเครียดที่ยังซ่อมเครื่องบินไม่ได้ เสบียงก็เหลือน้อย เขาตอบเจ้าชายน้อยไปว่าไม่เห็นจะเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร เจ้าชายน้อยเสียความรู้สึกมาก เขาพูดแบบอึ้งๆ ว่า "ทำไมเธอพูดกับฉันเหมือนที่ผู้ใหญ่ชอบพูดกัน (หน้า 41)" เจ้าชายน้อยรู้สึกโกรธที่ผู้เขียนคิดว่าเรื่องที่เขาเห็นว่าสำคัญเป็นเรื่องไม่สำคัญ ถ้าแกะไปกินดอกไม้ดอกเดียวที่ฉันรักและรักฉันเข้าล่ะ แบบนี้ยังจะเรียกว่าไม่สำคัญอยู่อีกไหม แล้วเจ้าชายน้อยก็ร้องไห้ ผู้เขียนรู้สึกผิด เขาละจากสิ่งที่ทำอยู่หันมาโอบกอดแล้วปลอบประโลมเจ้าชายน้อย

         จากนั้นผู้เขียนก็ค่อยๆ รู้เรื่องราวของดอกกุหลาบแสนรักของเจ้าชายน้อย เจ้าชายน้อยพบกับต้นอ่อนของดอกไม้นั้นเข้าในวันหนึ่ง เขาใส่ใจคอยดูแลรดน้ำและเฝ้ารอวันที่มันจะผลิบาน เธอใช้เวลาแต่งตัวอยู่นานทีเดียว ในที่สุด ในรุ่งเช้าวันหนึ่งเธอก็ยอมผลิบาน เจ้าชายน้อยชื่นชมในความงามของเธอมาก ทว่าดอกไม้แสนสวยหาได้มีความถ่อมตนสักนิดไม่ เธอพูดโอ่อวดถึงความงามของตัวเอง และว่าเธอเนี่ยนะ unique มว๊ากก พันธ์นี้เนี่ยมีแค่เธอดอกเดียวในจักรวาล เธอทรมานเจ้าขายน้อยด้วยความหลงตนของเธอเอง เรียกร้องให้เขารดน้ำ หาที่กั้นลมให้ บ่นนั่นนี่ สร้างความยุ่งยากลำบากให้เจ้าชายน้อย เจ้าชายน้อยเริ่มกังวลใจ แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะรักและชื่นชมดอกกุหลาบด้วยความจริงใจ แต่เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาเอาจริงเอาจังกับคำพูดของดอกไม้มากเกินไป และมันทำให้เขาทุกข์ใจ เขาจึงตัดสินใจที่จะหนี  พอมาถึงตอนนี้เจ้าชายน้อยรู้สึกเสียใจที่จากดาวบี612 มา เขาบอกกับผู้เขียนว่าไม่น่าใส่ใจกับคำพูดของดอกกุหลาบเลย เขาน่าจะดูแต่ที่การกระทำของเธอ "ฉันควรจะเห็นความอ่อนหวานที่ซ่อนอยู่ภายใต้มารยาของเธอ ดอกไม้ก็มีอารมณ์หวั่นไหวง่ายเช่นนี้เสมอแหละ แต่ฉันก็อ่อนหัดเกินกว่าจะรู้จักรัก (หน้า 47)"

          ในวันที่เขาตัดสินใจจากมา หลังจากทำกิจวัตรประจำวันในการดูแลดวงดาวแล้วเสร็จ เจ้าชายน้อยก็กล่าวลาดอกไม้ ทีแรกเธอนิ่งเงียบ เมื่อกล่าวย้ำอีกครั้ง ดอกไม้ก็กระแอม และกล่าวขอโทษถึงการกระทำและคำพูดที่ผ่านมาของเธอต่อเจ้าชายน้อย เรื่องนี้เป็นความผิดของเธอเอง และว่าเธอกับเขาต่างก็โง่ด้วยกันทั้งคู่ แต่เธอรักเขาด้วยใจจริงนะ "อย่ามัวชักช้าร่ำไรอยู่เลย น่ารำคาญออกในเมื่อเธอตัดสินใจจะไปแล้วก็ไปเสีย (หน้า 51)" ดอกกุหลาบออกปากไล่เขาเพราะว่าเธอไม่อยากให้เขาเห็นน้ำตาของเธอ

          ดาวดวงแรกที่เจ้าชายน้อยไปถึง เขาพบกับพระราชาพระองค์หนึ่ง พระราชาถือว่าเจ้าชายน้อยเป็นข้าราชบริพารคนใหม่ รับสั่งให้เจ้าชายน้อยทำนั่นนี่ และห้ามไม่ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เจ้าชายน้อยรู้สึกเบื่อ และสงสัยว่าพระราชาปกครองสิ่งใด "ทุกสิ่งแหละ" ทรงปกครองดาวทุกดวง เป็นราชาแห่งพิภพสากล เจ้าชายน้อยทึ่งมาก และคิดว่าหากเขาเป็นพระราชาบ้างก็คงดี จะได้ดูพระอาทิตย์ตกดินมากกว่า 43 ครั้งแน่ เจ้าชายขอให้พระราชาสั่งให้พระอาทิตย์ตกให้ดู พระราชาตรัสว่า "เราต้องไม่ขอให้ใครทำอะไรที่เกินกำลังเขา อำนาจย่อมตั้งอยู่บนรากฐานแห่งเหตุผลเป็นประการแรก ถ้าเจ้าสั่งให้ประชาชนของเจ้าไปกระโดดทะเลตาย พวกเขาก็จะปฏิวัติ ส่วนฉันมีสิทธิ์เรียกร้องความนบนอบเชื่อฟังเพราะคำสั่งของฉันนั้นสมเหตุผล (หน้า 56)" เจ้าชายน้อยทวงถามเรื่องพระอาทิตย์ตกอีกครั้ง พระราชาก็ทรงรับปากว่าเมื่อถึงเวลาตกข้าจะสั่งให้พระอาทิตย์ตกให้เจ้าเอง เมื่อไม่มีอะไรน่าสนใจเจ้าชายน้อยก็เตรียมจากไป แต่พระราชาก็พยายามรั้งไว้ด้วยการเสนอตำแหน่งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เจ้าชายน้อยไม่เห็นว่ามีคนอื่นบนดาวดวงนั้นให้เขาตัดสินได้ พระราชาก็รับสั่ง "เจ้าตัดสินตัวเองสิ...เป็นหน้าที่ที่ยากที่สุดละ คนเราจะตัดสินตัวเองได้ยากกว่าตัดสินผู้อื่น ถ้าเจ้าตัดสินตัวเองได้เป็นผลสำเร็จดีละก็ นับว่าเจ้าเป็นปราชญ์โดยแท้คนหนึ่งทีเดียว (หน้า 57)" เจ้าชายน้อยว่าถ้าอย่างนั้นเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตัดสินตัวเองได้นี่ ไม่จำเป็นต้องอยู่บนดาวดวงนี้ แล้วเจ้าชายน้อยก็ออกเดินทางต่อ

          ดาวดวงที่ 2 เจ้าชายน้อยพบกับชายหลงตน เขาเชื่อมั่นว่าทุกคนนิยมชมชอบในตัวเขา รวมทั้งเจ้าชายน้อยผู้มาเยือน (ทั้งๆ ที่เขาอยู่บนดาวดวงนั้นแค่คนเดียว) เขาจะถอดหมวกแล้วโค้งคำนับทุกครั้งที่มีคนปรบมือให้ แรกๆ เจ้าชายน้อยก็สนุกกับการปรบมือให้เขาโค้ง แต่เมื่อหมวกของชายหลงตนไม่ยอมหล่นสักที เจ้าชายน้อยก็เริ่มเบื่อ "ฉันนิยมชมชอบเธอ...แต่ทว่ามันจะก่อให้เกิดประโยชน์อะไรแก่เธอนะ?...พวกผู้ใหญ่นี่พิลึกจริงเชียว"

          เมื่อมาถึงดาวดวงที่ 3 เจ้าชายน้อยพบกับชายขี้เมา เขาดื่มเหล้าเพื่อให้ลืมความอับอาย อับอายเรื่องอะไรน่ะเหรอ ก็เรื่องที่เขาดื่มเหล้าเนี่ยล่ะ

          บนดาวดาวงที่ 4 มีชายนักธุรกิจที่หมกมุ่นกับการคำนวณจำนวนดวงดาว เจ้าชายน้อยสงสัยนับไปแล้วทำยังไงต่อ นักธุรกิจตอบว่าจัดระเบียบพวกมันแล้วก็นับใหม่ เจ้าชายน้อยไม่เข้าใจว่ามันเกิดประโยชน์อย่างไรในเมื่อได้แต่ตรวจนับ จะพกดาวพวกนั้นไปไหนก็ไม่ได้ "แต่ฉันเก็บมันฝากธนาคารได้นะ" จดลงกระดาษ แล้วใส่เก๊ะล็อกไว้ นักธุรกิจอธิบาย แต่เจ้าชายน้อยก็ยังเห็นว่าเรื่องนี้ตลกดี "ฉันมีดอกไม้อยู่ดอกหนึ่งซึ่งรดน้ำให้มันทุกวัน ฉันมีภูเขาไฟอยู่ 3 ลูกซึ่งฉันกวาดเถ้าถ่านอยู่ทุกสัปดาห์ ฉันกวาดภูเขาลูกที่ดับแล้วด้วยเพราะเราไม่รู้แน่จริงไหม การที่ฉันเป็นเจ้าของภูเขาไฟและดอกไม้นั้นฉันทำประโยชน์ให้กับมัน แต่เธอไม่เห็นทำประโยชน์ให้กับดวงดาวต่างๆ นั้้นเลยนี่...? (หน้า 68)" นักธุรกิจนิ่งเงียบไป ใบ้กินจ้าาา

          ดาวดวงที่ 5 นั้นเล็กมาก เจ้าชายน้อยพบเพียงชายที่ทำหน้าที่จุดและดับโคม กับโคมดวงหนึ่งเท่านั้น เขาจุดแล้วก็ดับ จุดแล้วก็ดับทุกๆหนึ่งนาที เจ้าชายน้อยแปลกใจมาก บนดาวดวงนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเลย แล้วจะมีคนจุดโคมไปทำไม ชายคนนั้นเฝ้าทำหน้าที่ตามที่ถูกกำหนดไว้ แต่อย่างน้อยชายคนนี้ก็ยังทำประโยชน์มากกว่าผู้คนบนดาว 4 ดวงก่อนหน้า "ชายผู้นี้อาจถูกคนอื่น เช่นพระราชา คนหลงตน นักดื่มและนักธุรกิจเหยียดหยาม อย่างไรก็ตาม สำหรับฉันแล้ว เขาเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่ไม่น่าขันเลย ทั้งนี้เห็นจะเป็นเพราะเหตุว่าเขาไม่ได้สนใจตนเอง แต่ทว่าสนใจในสิ่งอื่น (หน้า 73)" แม้เจ้าชายน้อยอยากจะคบหาชายจุดโคมไว้เป็นเพื่อน แต่ดาวดวงนั้นเล็กเกินกว่าจะอยูด้วยกันได้ (อันที่จริงเจ้าชายน้อยเสียดายที่อดเห็นพระอาทิตย์บนดาวดวงนี้ตกถึง 1,440 ครั้งใน 24 ชม. มากกว่า)

          ดาวดวงที่ 6 มีชายชรานักภูมิศาสตร์กำลังนั่งเขียนบันทึกเล่มโต เขาทึกทักว่าเจ้าชายน้อยคือนักสำรวจ เขาอวดอ้างว่าตัวเขานั้นรอบรู้ทั้งเรื่องทะเล ภูเขา ฯลฯ แต่เมื่อเจ้าชายน้อยถามเขาว่ามหาสมุทรบนดาวของเขาอยู่ที่ไหน (ดาวดวงนี้ใหญ่โตมาก เจ้าชายน้อยประทับใจในความงามสง่าของมัน) ชายชรากลับตอบไม่ได้ เจ้าชายน้อยก็ถามหาแม่น้ำ และทะเลทรายต่ออีก ชายชราก็ไม่รู้อีก ให้เหตุผลว่าเขาเป็นนักภูมิศาสตร์ไม่ใช่นักสำรวจ หน้าที่ของเขาคือการบันทึกข้อมูลจากนักสำรวจ นักสำรวจต้องนำหลักฐานมาแสดงต่อนักภูมิศาสตร์ด้วย เพราะนักภูมิศาสตร์จะไม่ออกไปสำรวจตรวจสอบเอง และถ้าข้อมูลที่นักสำรวจแจ้งไม่ตรงตามจริง บันทึกนั้นก็จะไม่ถูกต้อง แล้วชายชราก็สอบถามถึงดาวของเจ้าชายน้อย เขาเตรียมจดบันทึกด้วยความกระตือรือร้น เจ้าชายน้อยก็บรรยายให้ฟังแล้วเสริมเรื่องดอกกุหลาบแสนสวยของเขาเข้าไปด้วย แต่นักภูมิศาสตร์ไม่สนใจ เขาว่าดอกไม้เป็น "สิ่งไม่จีรังยั่งยืน" แล้วสิ่งไม่จีรังยั่งยืนคืออะไรล่ะ เจ้าชายน้อยไม่เข้าใจ "หมายความว่า ถูกคุกคามให้หายไปในเวลาอันใกล้ (หน้า 77)" เจ้าชายน้อยได้ฟังแล้วก็เสียใจที่เขาทิ้งดอกไม้ที่ถูกคุกคามให้หายไปในเวลาอันใกล้ไว้ลำพังแล้วจากมา แต่เขาก็ยังทำใจแข็งและสอบถามชายชราว่าเขาควรไปเยือนที่ใดต่อ "โลกมนุษย์" คือคำตอบจากเขา

           และด้วยเหตุนี้เจ้าชายน้อยของเราก็มายังโลกมนุษย์ แต่เจ้านายน้อยกลับไปโผล่ที่ทะเลทราย เขาจึงไม่พบคนเลยสักคน ทีแรกเขาก็นึกว่าเขามาดาวผิดดวง แต่งูทะเลทรายเป็นผู้ให้คำยืนยันกับเขา ว่าที่นั่นคือทะเลทรายในทวีปแอฟริกา บนโลกมนุษย์ ไม่มีใครอาศัยอยู่ในทะเลทราย เจ้าชายรำพึงว่าอยู่ในทะเลทรายแบบนี้รู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน "แม้ในหมู่คน เราก็คงอยู่อย่างโดดเดี่ยว (หน้า 84)" เจ้างูตอบ เมื่อเจ้าชายน้อยตั้งข้อสังเกตว่างูตัวเล็กผอมบางเหมือนนิ้วมือ เจ้างูก็บอกว่าถึงอย่างนั้น มันกลับมีอำนาจมากกว่าพระราชาเสียอีก มันสามารถส่งคนที่มันสัมผัสกลับคืนไปยังผืนดินได้ และหากเจ้าชายน้อยต้องการ หรือว่าอยากกลับบ้านล่ะก็...เจ้าชายน้อยเข้าใจความหมายของงูดี

          เจ้าชายน้อยเดินต่อไปในทะเลทราย เขาไปพบกับดอกไม้ดอกหนึ่ง สอบถามได้ความว่าเคยมีคาราวานคนกลุ่มหนึ่งเคยเดินทางผ่านมาทางนี้เมื่อหลายปีก่อน นั่นคือคนกลุ่มสุดท้ายที่ดอกไม้เจอ

          เจ้าชายน้อยปีนขึ้นไปบนยอดเขาลูกหนึ่ง เขาลูกนั้นสูงกว่าภูเขาบนดาวบี612มาก เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นโลกทั้งใบ แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับมีแต่ยอดเขาแหลมๆ เต็มไปหมด เจ้าชายตะโกนออกไป "สวัสดี" เสียงสะท้อน "สวัสดี สวัสดี สวัสดี" กลับมา เจ้าชายน้อยคิดว่ามีคนตอบรับเขา เขาจึงตะโกนออกไปอีกชวนให้เสียงนั้นมาอยู่เป็นเพื่อน แต่ก็มีเพียงเสียงสะท้อนของคำพูดเขาย้อนกลับมา เจ้าชายน้อยนึก ดาวดวงนี้แปลกจริง มีแต่ความแห้งแล้ง ส่วนพวกมนุษย์ก็เอาแต่พูดตามคนอื่น ไม่เหมือนดาวบี612ของเขาที่มีดอกไม้แสนสวย และมักจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาเสมอ

          เมื่อเดินไปได้ระยะหนึ่ง เจ้าชายก็มาถึงสวนที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบมากมาย เจ้าชายน้อยนึกถึงดอกกุหลาบของเขา หากว่าเธอมาเห็นส่วนกุหลาบแห่งนี้คงรู้สึกอับอายที่เคยอวดอ้างว่าเธอเป็นหนึ่งเดียวในจักรวาล "ฉันเข้าใจเอาว่าฉันนี้ร่ำรวยเพียงเพราะเป็นเจ้าของดอกไม้ดอกเดียวในโลก แต่อันที่จริงฉันมีเพียงดอกกุหลาบธรรมดาเพียงดอกหนึ่งเท่านั้นกับภูเขาไฟอีกสามลูกซึ่งสูงเพียงหัวเข่าของฉัน และภูเขาไฟลูกหนึ่งดูเหมือนจะดับตลอดกาล ก็เท่านั้นเอง ซึ่งมันไม่ได้ทำให้ฉันกลายเป็นเจ้าชายที่สำคัญใหญ่โตอะไรเลย...(หน้า 91)" เจ้าชายน้อยทรุดลงนอนร้องไห้

          จากนั้นเจ้าชายน้อยก็พบกับสุนัขจิ้งจอกทะเลทราย สุนัขจิ้งจอกปฏิเสธที่จะเล่นกับเจ้าชายน้อยโดยให้เหตุผลว่ามันยังไม่ได้ถูกทำให้เชื่อง เจ้าชายน้อยสงสัยทำให้เชื่องคืออะไร "มันคือการสร้างความสัมพันธ์" สุนัขจิ้งจอกตอบ ในตอนนี้สำหรับมันเจ้าชายน้อยเป็นเพียงเด็กชายคนหนึ่งซึ่งก็เหมือนกับเด็กชายคนอื่นๆ ทั่วไป ส่วนมันก็เป็นเพียงสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งซึ่งก็เหมือนสุนัขจิ้งจอกทั่วๆ ไปสำหรับเจ้าชายน้อย แต่หากทั้งสองสร้างสัมพันธ์กัน ทั้งสองจะกลายเป็นคนเดียวในโลกของกันและกัน ต้องการกันและกัน เจ้าชายน้อยพอฟังแล้วก็นึกถึงดอกกุหลาบของเขา และคิดว่าบางทีระหว่างเจ้าชายน้อยกับดอกกุหลาบนั้นได้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันขึ้นมาแล้ว เมื่อสุนัขจิ้งจอกรู้ว่าเจ้าชายน้อยมาจากดาวดวงอื่นและบนนั้นไม่มีนักล่าสัตว์เหมือนโลกมนุษย์ มันก็เกิดสนใจดาวบี612ขึ่นมา แต่พอรู้ว่าบนนั้นไม่มีไก่ มันก็ถอนใจ "ไม่มีอะไรดีพร้อมเลย" แล้วสุนัขจิ้งจอกก็ขอให้เจ้าชายน้อยทำให้มันเชื่อง แต่เจ้าชายน้อยไม่อยากทำเพราะเขายังต้องออกเดินทางไปค้นหาเพื่อนและเรียนรู้สิ่งต่างๆ อีกมากมาย สุนัขจิ้งจอกก็เลยบอกว่าถ้าเขาต้องการเพื่อนก็ทำให้มันเชื่องสิ ดังนั้นสุนัขจิ้งจอกก็เริ่มสอนเจ้าชายน้อยให้ทำให้มันเชื่อง ในที่สุดเจ้าชายน้อยก็ทำได้ เมื่อจวนถึงเวลาต้องจากกัน สุนัขจิ้งจอกเศร้าและร้องไห้ เจ้าชายน้อยว่าเธอไม่น่าให้ฉันทำเธอให้เชื่องเลย สุดท้ายเธอก็ไม่ได้สิ่งใดเลย แต่สุนัขจิ้งจอกแย้งว่า ได้สิ ฉันได้ภาพความทรงจำของทุ่งข้าวสาลีสีทองแล้วยังไงล่ะ (สีผมของเจ้าชายน้อยเป็นสีทองเหมือนทุ่งข้าวสาลี แล้วก็บรู้มมมมม กลายเป็นโกโก้ครันช์ #ผิด)

          สุนัขจิ้งจอกบอกให้เจ้าชายน้อยกลับไปยังสวนกุหลาบใหม่ แล้วค่อยกลับมาหามันเพื่อฟังความลับบางอย่างก่อนจะบอกลากัน เมื่อเจ้าชายน้อยกลับไปที่สวนแห่งนั้น เขาก็มองเห็นภาพดอกกุหลาบแตกต่างออกไป เขาพบว่าดอกกุหลาบของเขาบนดาวบี612 นั้นมีแค่ดอกเดียวในจักรวาลจริงๆ ดอกไม้ในสวนเหล่านั้นไม่ได้มีความหมายใดๆ ต่อเจ้าชายน้อยเลย เพราะเขาไม่รู้สึก "ผูกพัน" กับดอกไม้เหล่านั้นสักนิด เจ้าชายน้อยกลับไปบอกลาสุนัขจิ้งจอก สุนัขจิ้งจอกก็บอกความลับกับเขา "สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยตา ... เวลาที่ใช้กับดอกกุหลาบของเธอ จะยิ่งทำให้เจ้าหล่อนมีค่ามากขึ้น ... และเธอต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เธอมีความสัมพันธ์ด้วย (หน้า 100)"

          เจ้าชายน้อยเดินทางมาถึงทางรถไฟ เขาเจอกับเจ้าหน้าที่สับรางคอยสับรางให้ขบวนรถไฟไปตามเส้นทางที่ต้องไป เจ้าชายน้อยสงสัย ทำไมเขาถึงเร่งรีบกันขนาดนั้น ตามหาสิ่งใด? แม้แต่คนขับรถไฟก็ไม่รู้หรอก เจ้าหน้าที่สับรางตอบ เมื่อรถไฟอีกขบวนวิ่งสวนทางมา เจ้าชายน้อยสงสัยอีก เขากลับมาแล้วนี่ เจ้าหน้าที่สับรางอธิบายว่านั่นเป็นคนละขบวนกัน
"เขาไม่พอใจที่ที่เขาอยู่รึ" เจ้าชายน้อยถาม
"คนเราไม่เคยพอใจที่ที่ตนอยู่เลย" เจ้าหน้าที่สับรางตอบ
เมื่อรถไฟขบวนที่สามผ่านมา เจ้าชายน้อยเปรยว่า หรือว่าเขาจะตามนักเดินทางกลุ่มแรกอยู่ เจ้าหน้าที่สับรางปฏิเสธ คนส่วนใหญ่ถ้าไม่หลับก็นั่งหาว มีแต่พวกเด็กๆ เท่านั้นแหละที่นั่งเอาหน้าแนบหน้าต่างมองออกมา "พวกเด็กๆ เท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร" เจ้าชายน้อยกล่าว เจ้าหน้าที่สับรางรู้สึกว่าเด็กๆ นั้นช่างโชคดีเสียจริง

           คนถัดมาที่เจ้าชายพบคือชายขายยาช่วยลดความกระหายน้ำ เขาโฆษณาว่าเมื่อกินยาของเขาแล้วจะประหยัดเวลาจากการดื่มน้ำได้ 53 นาทีต่อสัปดาห์ เจ้าชายน้อยคิดว่า "ถ้าหากฉันมีเวลา 53 นาทีนั้น ฉันจะค่อยๆ เดินไปสู่ธารน้ำ (หน้า 104)" 

          แล้วเจ้าชายน้อยก็มาพบกับผู้เขียน บัดนี้เวลาผ่านมา 8 วันแล้วนับจากที่พบกันครั้งแรก น้ำดื่มของเขากำลังจะหมด เครื่องบินที่เสียก็ยังซ่อมไม่ได้ เขาบอกกับเจ้าชายน้อยว่าพวกเรากำลังจะตาย เจ้าชายตอบว่า "การมีเพื่อนเป็นสิ่งดีนะ ถึงแม้ว่าเราจะตายก็ตาม ฉันดีใจมากที่มีเพื่อนอย่างสุนัขจิ้งจอก...(หน้า 107)" เจ้าชายน้อยชวนผู้เขียนออกไปหาบ่อน้ำ พวกเขาเดินไปเรื่อยๆ ระหว่างทางผู้เขียนก็เข้าใจบางสิ่ง "สิ่งซึ่งฉันมองเห็น เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น สิ่งสำคัญกว่านั้นหาได้มองเห็นไม่ (หน้า 108)" พวกเขาเดินกันทั้งคืน จนรุ่งสางจึงพบบ่อน้ำ

          ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจ เพราะบ่อน้ำนั้นเหมือนบ่อน้ำตามหมู่บ้าน มีครบทั้งถัง และเชือกใช้ชักรอก แต่แถวนั้นไม่มีวี่แววของคน หรือหมู่บ้านเลย พวกเขาตักน้ำขึ้นมาดื่ม เจ้าชายน้อยพูดกับผู้เขียนว่าคนบนโลกของเธอปลูกดอกไม้หลายร้อยหลายพันดอกแต่กลับไม่พบสิ่งที่ต้องการ ทั้งๆ ที่สิ่งที่เขาค้นหานั้นอาจพบได้ง่ายๆ ในกุหลาบแค่ดอกเดียว หรือน้ำเพียงเล็กน้อย เจ้าชายน้อยยังทวงสัญญาถึงปลอกปากสำหรับแกะจากผู้เขียน ผู้เขียนจึงหยิบรูปที่เขาร่างไว้ขึ้นมา เมื่อเจ้าชายน้อยเห็นรูปที่เขาวาดก็หัวเราะพลางบอกถึงจุดที่ไม่ตรงตามจริง ผู้เขียนตัดพ้อว่าไม่ยุติธรรมที่หัวเราะเขาอย่างนี้ รูปพวกนี้เขาเพิ่งวาดครั้งแรกนะ เจ้าชายน้อยปลอบเขาว่าอย่าห่วงเลย พวกเด็กๆ จะเข้าใจรูปที่เขาวาด และเอ่ยถึงวันที่เขาตกลงมายังทะเลทรายแห่งนี้ พรุ่งนี้จะเป็นวันครบรอบแล้ว ผู้เขียนจึงรู้ว่าการที่พวกเขาได้พบกันนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ที่แท้เจ้าชายน้อยกำลังตามหาจุดที่เขาตกลงมา เจ้าชายน้อยบอกให้ผู้เขียนกลับไปซ่อมเครื่องบิน แล้วค่อยกลับมาหาเขาในวันรุ่งขึ้น ผู้เขียนนึกถึงเรื่องของสุนัขจิ้งจอกที่เจ้าชายน้อยเล่าให้ฟัง "เราเสี่ยงต่อการร้องไห้เมือเราปล่อยตัวให้สร้างความสัมพันธ์ขึนมา (หน้า 114)"

          วันต่อมาผู้เขียนซ่อมเครื่องบินสำเร็จ ก็เดินกลับมาหาเจ้าชายน้อย เขาเห็นเจ้าชายน้อยนั่งห้อยขาอยู่บนกำแพงใกล้ๆ กับบ่อน้ำ กำลังพูดกับใครบางคน แต่เขามองไม่เห็นใครเลย แต่แล้วเขาก็ต้องสะท้านเมื่อได้ยินเจ้าชายน้อยถามถึง "พิษ" ของอีกฝ่าย คราวนี้เขาก้มลงไปมองที่พื้นทราย เขาเห็นงูสีเหลืองที่มีพิษร้ายแรง เขารีบตรงเข้าไปพร้อมกับควานหาปืน แต่เจ้างูมุดทรายหนีหายไปในพริบตา เขารับร่างเจ้าชายน้อยลงมาจากกำแพง แล้วถามว่าเมื่อกี๊คุยอยู่กับงูหรือ? เจ้าชายน้อยไม่ตอบแต่กลับกล่าวแสดงความยินดีที่เขาซ่อมเครื่องบินได้และกำลังจะได้กลับบ้าน ผู้เขียนประหลาดใจว่าเจ้าชายน้อยรู้ได้อย่างไร เขายังไม่ได้บอกเลย เจ้าชายน้อยบอกเขา วันนี้เจ้าชายน้อยก็จะกลับบ้านเหมือนกัน ผู้เขียนสังหรณ์ใจไม่ดีเลย เจ้าชายน้อยบอกว่าดวงดาวของเขานั้นเล็กเกินกว่าจะชี้เป้าได้ว่าอยู่ตรงไหนบนฟ้า แต่นั่นก็นับเป็นเรื่องดี เพราะสำหรับผู้เขียนแล้วมันจะเป็นดาวดวงไหนก็ได้ และเจ้าชายน้อยก็มองของขวัญให้ผู้เขียน คือเสียงหัวเราะของเจ้าชายน้อย เมื่อผู้เขียนมองขึ้นไปยังดวงดาวบนท้องฟ้าซึ่งเจ้าชายน้อยกำลังหัวเราะอยู่บนดาวดวงใดดวงหนึ่ง นั่นก็เท่ากับว่าดวงดาวนั้นกำลังหัวเราะด้วย ดาวหัวเราะได้คือดาวที่ยังไม่เคยมีใครมีมาก่อน และนั่นคือของขวัญพิเศษที่เจ้าชายน้อยจะมอบให้ผู้เขียนเป็นคนแรก ทุกครั้งที่มองดาวบนฟ้า เมื่อความเศร้าจางหายไป เขาก็จะหัวเราะไปพร้อมกันกับเจ้าชายน้อย เจ้าชายน้อยห้ามไม่ให้ผู้เขียนกลับมาหาในคืนนี้ เพราะไม่อยากให้เขาเห็นตอนเจ้าชายน้อยเจ็บปวดใกล้ตาย และกลัวว่างูจะเผลอทำร้ายเขาเข้า

          คืนนั้นเจ้าชายน้อยออกเดินไปอย่างไร้สุ้มเสียง เมื่อผู้เขียนตามไปทัน เจ้าชายน้อยยังคงพยายามให้เขาล้มเลิกความตั้งใจ แต่แล้วเจ้าชายน้อยก็ร้องไห้ เมื่อถึงที่ที่หนึ่งเจ้าชายน้อยก็ขอเดินแยกทางไปคนเดียว แล้วนั่งลง เขาดูกลัว เมื่อยืนขึ้นอีกครั้ง เขาก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย ผู้เขียนเห็นแสงสีเหลืองสะท้อนออกมาจากข้อเท้าของเจ้าชายน้อยเพียบแว่บเดียว ไม่มีเสียงร้องใดๆ เจ้าชายน้อยค่อยๆ ล้มลงบนผืนทราย

          เมื่อผู้เขียนกลับถึงบ้าน เพื่อนฝูงต่างดีใจที่เขาปลอดภัยกลับมา แม้จะมีท่าทีเศร้าหมองไปบ้างก็ตาม ผ่านมา 6 ปี เขาจึงัยนทึกเรื่องราวของเจ้าชายน้อยจากความทรงจำ เขารู้ดีว่าเจ้าชายน้อยคงกลับไปยังดวงดาวของเขาแล้ว เพราะเมื่อเขากลับไปยังจุดที่เจ้าชายน้อยล้มลงในครั้งนั้น เขาก็ไม่พบร่างของเจ้าชายน้อยแล้ว เขายังคงคิดถึงและชอบมองดวงดาว เขาวาดรูปที่ที่เจ้าชายน้อยจากไปทิ้งท้ายไว้และฝากเราว่าถ้าวันใดเราบังเอิญผ่านไปตรงนั้น และพบกับเด็กชายตัวเล็กๆ ผมสีทอง ผู้ไม่ตอบคำถามที่คุณถาม ถ้าเขามาทักคุณ ถ้าเขาหัวเราะ คุณก็น่าจะเดาได้ว่าเขาเป็นใคร ให้เรารีบส่งข่าวไปแจ้งผู้เขียนทันที อย่าปล่อยให้เขาต้องโศกเศร้าอีกต่อไป

ที่ๆ เจ้าชายน้อยปรากฏตัว และจากไป



Comments

  1. ขอบคะณมากค่ะที่รีวิวให้ อ่านมาตั้งแต่เด็กไม่ค่อวเข้าใจเท่าไร555

    ReplyDelete
    Replies
    1. ลองหาคลิปรายการพื้นที่ชีวิตตอนเจ้าชายน้อยมาดูเพิ่มดิคะ น่าจะเข้าใจมากขึ้น เขาพาย้อนไปรู้จักกับตัวผู้เขียน กับความเป็นมาของเรื่องนี้ค่ะ

      Delete

Post a Comment

Popular posts from this blog

เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince) หนังสือดีๆ อีกเล่มที่อยากแนะนำให้อ่าน

ลำนำรักเทพสวรรค์ ภาค หนึ่งคำมั่น สัญญานิรันดร์ (Promise Me a Forever)