เมียนาซี (The Nazi Officer's Wife)

"สักวันหนึ่งเวลานั้นอาจมาถึงเข้าจริงๆ ก็ได้
วันที่คนเราแยกไม่ออกว่านักคิดกับคนบ้าต่างกันยังไงนั่นล่ะ"
- เปปี โรเซนเฟลด์
(อิดิธ ฮาห์น, "เมียนาซี", หน้า 43)


ชื่อเรื่อง: เมียนาซี (The Nazi Officer's Wife)
ผู้เขียน: EDIT HANN BEER WITH SUSAN DWORKIN
ผู้แปล: เก่งการ
สนพ. Fullstop, พ.ศ. 2548

อ่านเรื่องเกี่ยวกับนาซีทีไรก็ใจหดหู่
อะไรทำให้คนเราโหดร้ายต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ถึงเพียงนั้นนะ
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวนี้นับเป็นหนึ่งในอภิมหาโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของโลกเลย

อิดิธ ฮาห์น เบียร์ มีตัวตนอยู่จริง เธอคือหญิงสาวชาวยิวที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุน
เพื่อให้รอดพ้นจากการตามล่าของนาซี
ลูกสาวของเธอเป็นคนขอร้องให้เธอออกมาตีแผ่เรื่องราวชีวิตในช่วงนั้น
แล้วก็บรู้มมมม กลายเป็นโกโก้ครันช์ #ผิด

และสุดท้ายก็ออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้
"เมียนาซี (The Nazi Officer's Wife: How One Jewish Woman Survived the Holocaust)"
อิดิธ ฮาห์นเกิดในครอบครัวชาวยิวฐานะปานกลาง อาศัยอยู่ในออสเตรีย
บิดาเปิดร้านขายอาหาร มารดาเป็นแม่บ้านและช่วยงานที่ร้าน
มีน้องสาวสองคน ครอบครัวมีความสุขดี
อิดิธนั้นนับว่าโชคดีที่บิดายินยอมส่งเสียให้เรียนต่อในระดับม. ปลาย ไปจนเข้ามหาวิทยาลัย
ในยุคสมัยนั้นการที่ผู้หญิงจะได้เรียนต่อนั้นเป็นไปได้ยาก
เนื่องด้วยผู้หญิงยังถูกกีดกัน และไม่สำคัญเท่าลูกชาย
ในช่วงวัยเด็ก พรรคนาซียังไม่เรืองอำนาจ ความคิดรังเกียจชนชาติยิวก็ยังไม่เป็นกระแสมากนัก
จนมาช่วงปี 1938 นาซีเริ่มเรืองอำนาจขึ้นเรื่อยๆ
การเผยแพร่ฝังความคิดให้เกลียดยิว (แอนตี-เซมิติก) ก็เริ่มค่อยๆ รุนแรงขึ้น
แค่คุณเป็นคนยิว ก็ถูกเกลียดเอาได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องมีเหตุผลใดมารองรับ
หากเกิดคดีความขึ้น และมีชาวยิวเกี่ยวข้อง
ชาวยิวคนนั้นก็จะตกเป็นผู้ต้องหาโดยแทบจะไม่ต้องมีการไต่สวน
เนื่องด้วยผู้คนมีความเชื่อว่ายิวเป็นชนชาติที่มีแนวโน้มเป็นฆาตกร
ขี้ขโมย ชอบพูดโกหกอยู่แล้ว
ไม่นานสถานการณ์ก็เริ่มรุนแรงขึ้น มีการกีดกันไม่ให้คนยิวออกมาเดินบนท้องถนน
แบ่งโซนนั่งในคาเฟ่ โซนหนึ่งสำหรับคนยิว อีกโซนของชนชาติอารยัน
ในปีนั้นเป็นช่วงที่อิดิธกำลังสอบเพื่อทำจบป. เอกทางด้านกฎหมาย
แต่เธอกลับถูกห้ามไม่ให้เข้าสอบครั้งสุดท้าย และถูกให้ออกจากมหาวิทยาลัย
ผู้คนที่เคยเป็นมิตร ก็หันมาเป็นศัตรูได้ง่ายๆ
แล้วก็เริ่มมีการกวาดต้อน ยึดทรัพย์สินคนยิว ทำลายร้านค้า
ความเป็นอยู่เริ่มลำบากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเริ่มมีนโยบายอันซ์คูสส์
หรือนโยบายผนวกออสเตรียเข้ากับเยอรมัน
ปี 1941 อิดิธถูกจับส่งไปใช้แรงงานในไร่ในเยอรมัน
เธอต้องทำงานหนักวันละหลายชั่วโมง ค่าแรงก็น้อย อาหารก็แทบไม่พอกิน
จากนั้นในปีเดียวกันก็ถูกส่งตัวไปทำงานในโรงงานทำกล่อง
ขณะเธอทำงานอยู่ในโรงงาน แม่ของเธอก็ถูกกวาดต้อนไปชุมชนยิวในโปแลนด์
และขาดการติดต่อกันไปนับแต่นั้น ด้านเปปีคนรักของเธอ
ก็ไม่ยอมแต่งงานกับเธอสักที และมีเหตุอื่นๆ อีกที่ทำให้สุดท้ายพวกเขาต้องแยกทางกัน
หลังถูกปล่อยออกมาจากโรงงานเธอก็หาทางหลบหนีไม่ไปรายงานตัว
และอพยพไปอยู่มิวนิค ด้วยความช่วยเหลือจากคุณนายดอกเตอร์
และเพื่อนสนิทชาวอารยันที่ยินยอมให้เธอยืมชื่อ นำไปทำเอกสารปลอมเพื่อหลบหนี
ที่มิวนิคอิดิธ กลายเป็น เกรเธ เด็นเนอร์ เธอได้งานทำเป็นผู้ช่วยพยาบาลของกาชาด
เธอยังได้พบรักและแต่งงานกับชายชาวเยอรมัน เวอร์เนอร์ และย้ายไปอยู่เยอรมันกับเขา
เวอร์เนอร์ทำงานอยู่ในบริษัทผลิตเครื่องบินรบ
แม้เวอร์เนอร์จะรู้ความจริงเรื่องที่อิดิธเป็นยิว แต่เธอก็ยังจำเป็นต้องทำตัวสงบเสงี่ยม
เป็นแม่บ้านแม่เรือน พยายามทำตัวให้ไม่น่าสนใจ และต้องอยู่อย่างหวาดระแวง
ก่อนที่เวอร์เนอร์จะถูกเกณฑ์ไปรบ อิดิธให้กำเนิดลูกสาว แองเจลา
เวอร์เนอร์ไม่ค่อยปลื้มเท่าไร เพราะเขาคาดหวังว่าจะได้ลูกชาย
ภายหลังเมื่อรัสเซียบุกเข้าเยอรมันสำเร็จ อิดิธถึงได้กลับเป็นตัวเธออีกครั้ง
ไม่ต้องปลอมตัวเป็นเกรเธอีกต่อไป แถมเธอยังได้งานทำเป็นผู้พิพากษาอีกด้วย
แต่แล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง หลังจากวิ่งรอกหาทางช่วยเวอร์เนอร์
ที่ตกเป็นเชลยสงครามให้กลับมาได้ พวกเขาก็มีอันต้องหย่าร้างกัน
เพราะธรรมชาตินิสัยของเวอร์เนอร์ย่อมรับไม่ได้ที่เห็นภรรยาดีกว่าทั้งการศึกษา
และหน้าที่การงาน ส่วนตัวเขาเองนั้นตกงาน
นอกจากนี้ ภายหลังเธอยังถูกกดดันจากฝ่ายรัสเซียให้เผยข้อมูลของคนรอบตัว
ที่สุดเธอก็พาลูกหนีออกจากเยอรมัน...

รูปแบบการเล่าเรื่องเป็นเหมือนข้อเขียนในไดอะรี่ความทรงจำของอิดิธ
อ่านแล้วก็สงสาร เห็นใจอิดิธ และชาวยิวที่ถูกกระทำ
ไม่มีใคร ไม่ว่าจะดีหรือเลว ที่จะสมควรได้รับการปฏิบัติอันเลวร้ายแบบนั้น
รายละเอียดในเล่มยังมีมากกว่านี้ ถ้าได้ลองอ่านจะรับรู้ถึงความลำบากของอิดิธมากขึ้น
และเรื่องที่เล่ามานี้เป็นแต่เพียงคร่าวๆ และยังไม่จบ

ผู้หญิงตัวคนเดียว แต่ยังสามารถหาทางหนีรอดจากเกสตาโปได้
แต่ก็ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้ไหม เพราะความลำบากยากเข็ญที่เธอต้องพบเจอนั้นไม่น้อยเลย
ใครชอบประวัติศาสตร์ก็หามาอ่านกันได้ค่ะ





Comments

Popular posts from this blog

[Spoiler Alert] เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince) สปอยล์แหลกตามคำขอของน้อง

เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince) หนังสือดีๆ อีกเล่มที่อยากแนะนำให้อ่าน

ลำนำรักเทพสวรรค์ ภาค หนึ่งคำมั่น สัญญานิรันดร์ (Promise Me a Forever)