The Last Breakfast องอาจ ชัยชาญชีพ
"ที่คิดว่าฝันอาจคือจริง ที่เข้าใจว่าจริงอาจเป็นเพียงฝัน"
- องอาจ ชัยชาญชีพ, The Last Breakfast
"The Last Breakfast"
ผู้เขียน: องอาจ ชัยชาญชีพ (เรื่องและภาพ)
Special Limited Edition 2012
การได้รู้จักหนังสือเล่มนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นความบังเอิญ หรือถ้าน้ำเน่าหน่อยก็พรหมลิขิต เพราะบังเอิญไปเจอรูปใน IG ของคนๆ หนึ่ง ซึ่งเขาไม่ได้ตั้งใจจะถ่ายรูปหนังสือเล่มนี้ด้วยซ้ำ รูปนั้นเป็นรูปที่เขาถ่ายชั้นหนังสือในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง แล้วในมุมไกลๆ เราสะดุดตากับปกหนังสือเล่มนี้ แต่พยายามเพ่งเท่าไรก็ดูไม่ออกว่าชื่อเรื่องอะไร ซูมก็แล้ว พยายามเดาก็แล้ว ก็ยังหาไม่เจอ จนน้องคนหนึ่งมาช่วยเพ่ง แล้วบอกว่าน่าจะ Last Breakfast ก็ลองกูเกิ้ลหาอีกที จนในที่สุดก็หาเจอ แต่อุปสรรคอย่างใหม่ก็เกิดขึ้น รูปนั้นถ่ายจากร้านหนังสือในจ. ภูเก็ต! เราก็แป้วละ แล้วจะไปซื้อยังไง ลองติดต่อไปทางเพจของร้าน ทางร้านเขาแนะนำว่าร้านหนังสือในกรุงเทพฯ น่าจะมีนะ แต่ถ้าหาไม่ได้ เขาก็ยินดีจะขายแล้วจัดส่งมาให้ทางไปรษณีย์ และแล้วเราก็หากันจนเจอที่ร้าน Bookmoby ตรงหอศิลป์กรุงเทพฯ
The Last Breakfast เป็นผลงานของคุณ องอาจ ชัยชาญชีพ เจ้าของผลงาน "หัวแตงโม", "เทพเจ้าแมว pandada", "หมูบินได้", ฯลฯ เล่าเรื่องการผจญภัยของ ไฮอัง ที่จู่ๆ ก็หายตัวจากโต๊ะกินข้าวขณะกินมื้อเช้าไปโผล่บนดวงดาวประหลาดหลังจากนึกบทกลอนขึ้นมาได้บทหนึ่ง ไฮอังเจอกับสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนั้นหลายตัว/กลุ่ม ร่างยักษ์, จอมปีศาจ, กระต่ายสีเทาผู้เคราะห์ร้ายกับฝูงกระต่ายขาวบ้าเลือด, ตัวกินภูเขา, หุ่นกระป๋องไขลาน, ทวยเทพ, ขบวนการแกะสีส้ม, และพระเจ้า เธอสื่อสารกับพวกเขาเหล่านั้นด้วยบทกวี ตลอดการเดินทางเธอเชื่อว่าเธอกำลังฝันอยู่ อาจจะหลับไปขณะกินมื้อเช้า และรอคอยว่าเมื่อไรจะตื่น แต่แท้ที่จริงแล้วสิ่งใดคือความฝัน สิ่งใดคือความจริงไฮอังก็เริ่มไม่แน่ใจ
ตั้งใจมานานว่าอยากจะเขียนบล็อกถึง The Last Breakfast แต่ก็ลืมเนื้อหาจากการอ่านรอบแรกไปแล้ว เมื่อวานมีโอกาสได้หยิบมาอ่านซ้ำเสียที อ่านรอบแรกว่าชอบแล้ว อ่านรอบสองนี่ชอบมากขึ้นอีก รูปประกอบในเล่มสวยมาก เป็นภาพวาดด้วยดินสอหรืออาจจะปากกาล่ะมั้ง มีลูกเล่นตรงกระดาษด้วย ในเล่มจะมีกระดาษสีครีม สีดำ และมีสีเทาส่วนหนึ่ง เราตีความเอาว่าสีครีมคือช่วงเวลากลางวัน หรือพื้นที่ที่มีแสงสว่าง ส่วนสีดำคือพื้นที่มืดหรือกลางคืน อย่างฉากในถ้ำของพวกกระต่ายขาว หรือช่วงที่ไฮอังบินขึ้นไปบนฟ้าเพื่อมุ่งหน้าไปยังดวงดาวที่เธอหลงรัก
ความโดดเดี่ยวของไฮอังหลังจากได้รับปีกจากจอมปีศาจ เป็นความโดดเดี่ยวจากภาระที่หนักอึ้ง ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ผู้ที่มีปีกแห่งจอมมาร ตัวไฮอังเองก็เหนื่อยล้าจนไม่ได้ชื่นชมสิ่งสวยงามรอบตัว ก็คงเปรียบเหมือนตำแหน่งหน้าที่ที่สูงขึ้น ที่เขาว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวล่ะมั้ง ผู้คนรอบตัวเฝ้ามองด้วยความยำเกรง ไม่กล้าเข้าหา เพราะไม่รู้ว่าผู้ที่มีปีกปีศาจนั้นจะนำสิ่งใดมาสู่ตน แต่แม้จะมีปีกปีศาจอยู่บนหลัง ก็ไม่ได้ทำให้พวกกระต่ายขาวกลัวเกรงไฮอัง หรือมอบความกล้าหาญให้เธอเพื่อช่วยเหลือกระต่ายสีเทาตัวนั้น ไฮอังได้แต่ละอายใจ
"ภาระแห่งปีกทำให้เธอต้องใช้เรี่ยวแรงมากกว่าที่เคยมากนัก
เพียงเพื่อนำพาตัวเองก้าวย่างไป
คล้ายความน่าเกรงขามนำมาซึ่งความโดดเดี่ยว
และริดรอนสุนทรียะของเธอเสียสิ้น"
- องอาจ ชัยชาญชีพ, The Last Breakfast
กระต่ายสีเทา น่าจะเป็นตัวแทนของผู้เคราะห์ร้าย คนที่สู้เพื่ออุดมการณ์จากการปลุกเร้าของผู้อื่น มันปลดปล่อยดวงดาว และพยายามเปิดโปงกระต่ายแก่ หรือเดาเอาว่าน่าจะเป็นพ่อหมอประจำเผ่ากระต่ายขาว (เราว่าหน้าพ่อหมอนี่เหมือนเทพเจ้าแมวในดราก้อนบอลเลยอ่ะ 55) ว่าหลอกลวง และเทพเจ้าที่มันกล่าวอ้างนั้นไม่มีจริง ความมุ่งมั่น มุทะลุ และงมงาย เมื่อมาเจอกันก็น่าจะมีแต่หายนะ คนเราเชื่อในสิ่งที่อยากจะเชื่อ และวาดภาพเรื่องราวไปเองได้เป็นตุเป็นตะ ส่วนผู้ที่คัดง้างสุดท้ายก็คงกลายเป็นเหยื่อ ถ้าเพียงแต่กระต่ายสีเทาจะหาหลักฐานมาให้ได้ แล้วค่อยเปิดโปงพ่อหมอ กระต่ายสีเทาก็น่าจะมีเครดิตดีกว่านี้
และเมื่อไฮอังปฏิเสธที่จะเข้าร่วมขบวนการกับแกะสีส้ม เธอก็ถูกมันประณามว่า "ได้เลย! เมื่อทุกอย่างคลี่คลาย ข้าขอเชิญเจ้ามาร่วมสุขสบายในโลกเสรีที่เจ้าไม่เคยต่อสู้เพื่อมัน!!" การที่แกะสีส้มพูดกับไฮอังแบบนั้นก็ออกจะยัดเยียดความรู้สึกผิด หรือคำกล่าวหาให้ไฮอังที่ไม่ยอมเข้าร่วมอุดมการณ์ของตัวเองมากไปหน่อย และถ้าแกะสีส้มอยากจะสู้เพื่ออุดมการณ์นั้นจริงๆ ทำไมถึงไม่ลงมือทำอะไรเองบ้าง นอกจากเที่ยวชักชวนคนอื่นให้ออกหน้าแทนตัว?
เนื้อหาออกจะแนว dark นิดหน่อยนะ ไม่ใช่นิยายภาพอารมณ์ feel good เราไม่แน่ใจเรื่องความหมาย หรือสัญลักษณ์อะไรเท่าไร ที่เขียนนี่คือความรู้สึกจากการอ่านล้วนๆ "The Last Breakfast" น่าจะวางจำหน่ายที่ Bookmoby ตั้งแต่ปี 2012 และไม่ได้วางขายตามร้านหนังสือทั่วไปจากที่เจอในโพสต์ เป็ด เต่า ควาย (ซึ่งก็แชร์มาจากเพจของทางร้านอีกที) เพราะแบบนี้ถ้าไม่ได้กูเกิ้ล หรือช่องทางเพจในเฟซบุ๊ก คิดว่าจะหาเจอคงไม่ง่าย
ใครสนใจอยากลองหามาอ่าน ลองไปดูที่ Bookmoby ดู ครั้งล่าสุดที่ไปช่วงปลายพ.ค. ที่ผ่านมา เรายังเห็นมีเหลืออยู่นะ
Comments
Post a Comment