The Railway Man [2013] - แค้นสะพานข้ามแม่น้ำแคว (สปอล์ย)

"ทำไมโลกนี้ยังเต็มไปด้วยความขัดแย้ง?
ทั้งที่เราผ่านบทเรียนมาแล้วมากมาย
ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ทุกคนบอกว่ารักสันติ
ทุกคนบอกว่าโลกนี้ต้องการความรัก
ทุกคนบอกว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้เหตุผล
เรามีเทคโนโลยีล้ำหน้า เรารู้สรรพวิชามากมาย ฯลฯ
 แต่ตลกดี ที่สุดท้ายเรายังคงทะเลาะกัน
เรายังเป็นอย่างที่เป็นอยู่มาเนิ่นนาน
คำถามคือทำไม?"
- วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ
#ชายหนุ่มผู้ก้มลงถ่ายภาพเท้าตัวเอง (น.231)


**สปอล์ยนะคะ**

ตัวหนังจริงๆ ก็ดูไม่มีอะไรมาก กดดัน และเครียดตามสไตล์หนังสงคราม
เพียงแต่เรื่องนี้น่าจะใกล้ตัวคนไทยหน่อย
เพราะอิงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในไทย
ตอนที่ญี่ปุ่นเข้ามา และสร้างทางรถไฟสายมรณะ ที่กาญจนบุรี
The Railway Man นี่สร้างมาจากเรื่องจริงของเอริก โลแมกซ์ค่ะ
ตัวละครหลักในเรื่องนี่มีตัวตนอยู่จริงหมด

เอริก โลแมกซ์ อดีตพลทหารหน่วยสื่อสาร เป็นคนเงียบๆ ไม่สุงสิงกับใคร
เขาหลงใหลในรถไฟอย่างมาก วันหนึ่งขณะเปลี่ยนขบวนรถไฟเดินทาง
เขาพบกับแพตตี้ และตกหลุมรักเธอ ไม่นานทั้งสองก็แต่งงานกัน
หลังแต่งงาน หวานชื่นได้ไม่นาน แพตตี้ก็พบว่าโลแมกซ์มีปัญหาบางอย่าง
โลแมกซ์มักเลื่อนลอย หลุดไปอยู่ในโลกของตัวเอง ฝันร้าย และกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน
เขาถูกภาพหลอนจากอดีต สมัยร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 ตามหลอกหลอน
แพตตี้ไม่อาจทนเห็นเขาเจ็บปวด และไม่อยากให้ชีวิตคู่ของทั้งคู่ต้องล่มลง
เธอเลยไปหาฟินเลย์เพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลแมกซ์ในสงครามครั้งนั้น
โลแมกซ์อยู่ในค่ายทหารอังกฤษที่สิงคโปร์ หลังญี่ปุ่นบุกยึดเกาะได้สำเร็จ
ทหารอังกฤษยอมแพ้ ทหารจำนวนมากตกเป็นเชลยและถูกต้อนมาที่เมืองกาญจนบุรีของไทย
โลแมกซ์ก็เป็น 1 ในนั้น พวกเขาโชคดีกว่าคนอื่นนิดเดียวเท่านั้น
ตรงที่พวกเขาเป็นวิศวกร ทางทหารญี่ปุ่นจึงให้ทำงานด้านงานช่าง
ไม่ต้องไปลำบากสร้างทางรถไฟ ซึ่งเป็นงานหนักสาหัสทีเดียว
แต่แล้ววันหนึ่งทหารญี่ปุ่นก็จับได้ว่ากลุ่มของโลแมกซ์แอบประกอบวิทยุขึ้น
โลแมกซ์เสียสละตัวเองสารภาพว่าเขาเป็นคนสร้าง จึงถูกทหารญี่ปุ่นจับไปทรมาน
และสอบสวนว่าสร้างวิทยุขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือฝ่ายตรงข้ามของญี่ปุ่นใช่หรือไม่
โลแกมซ์ถูกทรมานอยู่นานหลายสัปดาห์กว่าจะถูกช่วยออกมาได้เขาก็หมดสภาพไปแล้ว
หลังกลับไปอังกฤษ เขาก็กลายเป็นคนเงียบๆ
และถูกตามหลอนด้วยภาพของนายทหารที่ทรมานเขา กับความเจ็บปวดที่ได้รับ
หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราว แพตตี้ก็สะเทือนใจ และเห็นใจเอริก
แต่เธอก็ยังไม่สารถช่วยให้เอริกดีขึ้นได้เท่าไรนัก
วันหนึ่งฟินเลย์มาหาเขา พร้อมข่าวว่านายทหารคนนั้น คือนากาเสะ ยังไม่ตาย
และเป็นล่ามให้นักท่องเที่ยวอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สะพานข้ามแม่น้ำแคว ที่กาญจนบุรี
ฟินเลย์ขอให้โลแมกซ์เป็นคนแก้แค้นให้ตัวโลแมกซ์เอง และพวกเขาทุกคน
และใช้วิธีกดดันวิธีหนึ่ง (ขอไม่บอกละกัน เผื่ออยากไปลุ้นในหนังบ้าง)
จนในที่สุดโลแมกซ์ก็เดินทางไปกาญจนบุรี พร้อมมีดที่ฟินเลย์ให้มา
เขาไปปรากฏตัวต่อหน้านากาเสะ และสอบสวนเขาด้วยถ้อยคำ
และประโยคเดียวกับที่นากาเสะเคยพูดกับเขา
นากาเสะเองก็ดูตกใจและอึ้ง ที่โลแมกซ์ยังไม่ตาย และมาเพื่อจะฆ่าเขา
โลแมกซ์ต้องต่อสู้กับภาพหลอนในสถานที่ที่เขาเคยถูกทรมาน
และความต้องการแก้แค้นในใจ

ตอนช่วงแรกของหนังมันก็ตื่นเต้นอยู่นิดหน่อย คือลุ้นๆ ว่าโลแมกซ์เคยเจออะไรมาบ้าง
ถึงได้ดูทรมาน และมีอาการหลอนขนาดนั้น
โดยเฉพาะภาพหลอน "ห้องทรมาน" ที่เขาดูจะกลัวมากๆ
นี่ก็จินตนาการไปแบบ โซ่ แส้ เทียน มาเต็มแน่ๆ
แต่ตอนที่โลแมกซ์สอบสวนกับนากาเสะนี่ออกจะน่าเบื่ออยู่สักหน่อย
ส่วนที่ทำให้ประทับใจ และคะแนนเรื่องนี้ 4 ดาวจาก 5
(ตอนแรกก็ว่าจะให้แค่ 3 แบบกลางๆ ไม่ดีมาก ไม่แย่ไป)
ก็เห็นจะเป็นตอนช่วงท้ายใกล้จบน่ะ แบบน้ำตามา ความซึ้งเกิด
และสิ่งหนึ่งที่ว่าเจ๋งก็พลังของ Colin Firth เฮียเมพขิงๆ

ไม่มีสงครามใดที่จะสร้างความสงบสุขที่แท้จริง
และทุกสงครามที่เกิดขึ้นก็ทิ้งบาดแผลไว้ใจคนมากมาย
โลแมกซ์ เป็นอีกเพียงตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงบาดแผลจากสงคราม
ที่แทบจะทำลายชีวิตเขาทั้งชีวิต ภาพเชลยที่ต้องทนทุกข์จากการสร้างทางรถไฟ
ขาดอาหาร และน้ำดื่มสะอาด ผอมแห้งเหลือแต่กระดูก
ถูกทรมาน ทุบตี ถูกฆ่าทิ้งหลายพัน หลายหมื่นคน
ทั้งหมดนี้เพื่ออะไร?

ตอนที่ประทับใจที่สุดตอนหนึ่งก็คือ
ตอนที่นากาเสะพูดออกมาด้วยความเศร้าใจ ละอายใจ
"พวกเขาหลอกเราว่าจะชนะ หลอกว่าจะมีเกียรติ"
ชายหนุ่มตบเท้าเข้าร่วมทัพเพราะเชื่อมั่นว่าฝ่ายตนจะชนะ
จะได้เป็นคนที่มีเกียรติ
สำหรับนากาเสะ เขาคงได้คำตอบแล้วว่า สิ่งที่เขากระทำนั้นต่อโลแมกซ์นั้นไร้ซึ่งเกียรติใดๆ
สงครามเป็นไปเพื่อศักดิ์ศรี เพื่อความยิ่งใหญ่ เพื่อเกียรติยศ...ของใครกันล่ะ?
ไม่เคยมีผู้ชนะที่แท้จริงในสงครามหรอกมั้ง
ทุกฝ่ายก็พ่ายแพ้เหมือนกันหมด และคนที่แพ้ย่อยยับที่สุด
ก็คือประเทศชาติ...
"ไม่มีสิ่งใดมีค่ามากไปกว่าชีวิตนี้" - นากาเสะ
และเมื่อโลแมกซ์ถามนากาเสะว่าพวกญี่ปุ่นพูดถึงสิ่งที่กระทำต่อทหารอังกฤษอย่างไร
โลแมกซ์ก็ก้มหน้าด้วยความละอายตอบว่า
"ไม่พูดถึง ไม่มีใครอยากพูดถึง"

แม้ว่าสงครามจะจบไปแล้ว แต่บาดแผลยังคงอยู่
ผู้ที่มีส่วนร่วม และได้รับผลกระทบคงลืมเลือนได้ยาก
โลแมกซ์เองก็ยังเจ็บปวดกับบาดแผลนั้น
แต่ในที่สุดเขาก็เลือกทำสิ่งที่ดีกว่า
คือการ "ให้อภัย"
เมื่อโลแมกซ์กลับไปอังกฤษ แพตตี้บอกกับเขาว่า
เธอกลัวว่าจะเสียเขาไป กลัวว่าเขาจะตัดสินใจเหมือนฟินเลย์
โลแมกซ์บอกว่า เขาไม่เหมือนฟินเลย์ เพราะเขามีเธอ
โอ๊ยยย ตอนนี้โคตรจะโรแมนติกเลย
แล้วพวกเขาก็อยู่ด้วยกันจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเลยด้วย
ตอนที่โลแมกซ์พาแพตตี้กลับไปหานากาเสะอีกครั้งเพื่อมอบจดหมายตอบให้นากาเสะด้วยตัวเอง
น้ำตาซึมเลยงิ ซึ้งและนับถือน้ำใจโลแมกซ์มากๆ
ที่ปล่อยวาง ให้อภัยนากาเสะ และเดินหน้าต่อไป
ปู่โลแมกซ์ กับนากาเสะก็กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันด้วยนะ

เวลาเจ็บปวด สิ่งที่เราไม่ควรทำคือทำร้ายตัวเองซ้ำ
ทำร้ายคนอื่น โดยเฉพาะคนที่รักเรา
และจมอยู่กับความเคียดแค้นจองเวร
การให้อภัย บางทีก็อาจเป็นหนทางแก้แค้นที่ดีที่สุดได้นะ ว่าไหม

"ความเกลียดชังควรจะยุติเสียที"
- เอริก โลแมกซ์




Comments

Popular posts from this blog

[Spoiler Alert] เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince) สปอยล์แหลกตามคำขอของน้อง

เจ้าชายน้อย (Le Petit Prince) หนังสือดีๆ อีกเล่มที่อยากแนะนำให้อ่าน

ลำนำรักเทพสวรรค์ ภาค หนึ่งคำมั่น สัญญานิรันดร์ (Promise Me a Forever)